พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์

พุทธศักราช  ๒๔๘๔

ในพระปรมาภิไธย

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่  ๔  สิงหาคม  พุทธศักราช  ๒๔๘๐)
อาทิตย์ทิพอาภา
พล  อ.พิชเยนทรโยธิน
ตราไว้ ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลปัจจุบัน

      โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรปรับปรุงกฎหมาย ว่าด้วยการคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

      จึ่งมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร  ดังต่อไปนี้

บททั่วไป

      มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้ ให้เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช  ๒๔๘๔”

      มาตรา ๒ ให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

      มาตรา ๓ ตั้งแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้ ให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎและข้อบังคับอื่นในส่วนที่มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัตินี้ หรือซึ่งแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้

      มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัติ นี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้ (๑)

      กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

หมวด  ๑

สมเด็จพระสังฆราช

      มาตรา ๖ สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก และทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยบทแห่งพระราชบัญญัตินี้

      มาตรา ๗ สมเด็จพระสังฆราชทรงบัญญัติสังฆาณัติโดยคำแนะนำของสังฆสภา  (๒)

      มาตรา ๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงบริหารการคณะสงฆ์ทางคณะสังฆมนตรี (๓)

      มาตรา ๙ สมเด็จพระสังฆราชทรงวินิจฉัยอธิกรณ์ทางคณะวินัยธร (๔)

      มาตรา ๑๐ ถ้าไม่มีสมเด็จพระสังฆราช หรือสมเด็จพระสังฆราชไม่ทรงสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ชั่วคราว ให้สังฆนายก หรือสังฆมนตรีซึ่งรักษาการแทน ทำหน้าที่บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราช (๕)

หมวด ๒

สังฆสภา

      มาตรา ๑๑ สังฆสภาประกอบด้วยสมาชิก มีจำนวนรวมกันไม่เกินสี่สิบห้ารูป  คือ

          (๑) พระเถระชั้นธรรมขึ้นไป

          (๒) พระคณาจารย์เอก

          (๓) พระเปรียญเอก

     แต่ทั้งนี้ ถ้ามีจำนวนเกินกว่าที่กำหนด ให้เป็นสมาชิกตามลำดับ (๑)(๒)(๓) และตามลำดับอาวุโส (๖)

      มาตรา ๑๒ ทุกคราวสมัยประชุมสามัญ สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งสมาชิกในสังฆสภาตามมติของสังฆสภา ให้เป็นประธานสภาหนึ่งรูป เป็นรองประธานหนึ่งรูปหรือหลายรูปก็ได้

      ในการตั้งประธานและรองประธานสังฆสภา ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการลงนามรับสนอง

      มาตรา ๑๓ ประธานสังฆสภามีหน้าที่ดำเนินกิจการของสภาให้เป็นไปตามข้อบังคับ รองประธานมีหน้าที่กระทำกิจการแทนประธานในเมื่อประธานไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้

      ในขณะที่ยังมิได้ตั้งประธานและรองประธาน หรือในเมื่อประธานและประธานไม่อยู่ในที่ประชุม ให้สมาชิกเลือกตั้งกันเองขึ้นเป็นประธานการประชุมในคราวประชุมนั้น

      มาตรา ๑๔ ในการประชุมสังฆสภาทุกคราว ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจึงเป็นองค์ประชุมได้

      ในการประชุมสังฆสภาทุกคราว ถ้าไม่มีข้อขัดข้องทางพระวินัย นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หรือผู้แทนจะเข้าฟังการประชุมด้วยก็ได้ และจะเสนอคำชี้แจงอย่างใดในที่ประชุมนั้นก็ได้

      มาตรา ๕ สมาชิกภาพแห่งสังฆสภาสิ้นสุดลง เมื่อ

          (๑) ถึงมรณภาพ

          (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ

          (๓) ลาออก

          (๔) สังฆสภาวินิจฉัยให้ออก โดยคะแนนเสียงเกินกว่าสองในสามของสมาชิกที่มาประชุม

      มาตรา ๑๖ ญัตติที่จะรับเข้าปรึกษาในที่ประชุมสังฆสภานั้น จะเสนอได้สามทาง คือ ทางคณะสังฆมนตรีหนึ่ง ทางกระทรวงศึกษาธิการหนึ่ง และทางสมาชิกสังฆสภาหนึ่ง แต่ญัตติที่เสนอทางสมาชิกสังฆสภานั้น  ต้องให้สังฆนายกรับรอง

      มาตรา ๑๗ การลงมติข้อปรึกษานั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้ หรือในพระธรรมวินัย ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประธาน (๗)

      สมาชิกรูปหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการลงคะแนน ถ้ามีจำนวนเสียงลงคะแนนเท่ากัน ให้ประธานในที่ประชุมมีสิทธิชี้ขาดให้เป็นไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือจะให้ระงับเรื่องนั้นไว้ ก็ได้

      แต่การตีความพระธรรมวินัย ถ้ามีข้อสงสัยให้ตีความไปทางรักษาพระธรรมวินัยให้เคร่งครัดโดยไม่ต้องลงมติ

      มาตรา ๑๘ ในปีหนึ่งให้มีสมัยประชุมสามัญสมัยหนึ่ง หรือหลายสมัยแล้วแต่สภาจะกำหนด สมัยประชุมสามัญสมัยหนึ่งให้มีกำหนดเวลาไม่เกินสามสิบวัน แต่สมเด็จพระสังฆราชจะโปรดให้ขยายเวลาออกไปก็ได้

      มาตรา ๑๙ สมเด็จพระสังฆราชทรงเรียกประชุมสังฆสภาตามสมัยประชุมและทรงเปิดปิดประชุม

      การเปิดปิดประชุม สมเด็จพระสังฆราชจะเสด็จมาทรงทำหรือจะโปรดให้สังฆนายกทำแทนก็ได้

      มาตรา ๒๐ เมื่อเป็นการจำเป็น สมเด็จพระสังฆราชจะทรงเรียกประชุมวิสามัญสังฆสภาก็ได้

      อนึ่ง สมเด็จพระสังฆราชจะทรงเรียกประชุมวิสามัญสังฆสภา เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการร้องขอ

      ในการนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามรับสนอง

      มาตรา ๒๑ สังฆาณัติย่อมบัญญัติได้ในกรณี ดังต่อไปนี้

          (๑) กำหนดวิธีการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

          (๒) กิจการที่มีบทกฎหมายกำหนดว่าให้ทำเป็นสังฆาณัติ

     มาตรา ๒๒ สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช กฎกระทรวง ข้อบังคับและระเบียบต้องไม่ขัดกับพระธรรมวินัย (๘)

      สังฆาณัติ จะบัญญัติความผิดและกำหนดทัณฑกรรมแก่บรรพชิตผู้ประพฤติล่วงละเมิดพระวินัยและสังฆาณัติไว้  ให้เป็นโสดหนึ่งต่างหากจากโทษตามพระวินัยก็ได้

      มาตรา ๒๓ ทัณฑกรรมที่จะบัญญัติไว้ในสังฆาณัติเกี่ยวด้วยการปฏิบัติล่วงละเมิดพระวินัยและสังฆาณัตินั้น ให้กำหนดได้เจ็ดสถาน ดั่งนี้

          (๑) ให้สึกและห้ามอุปสมบท

          (๒) ให้สึก

          (๓) ให้ปัพพาชนียกรรม

          (๔) ให้พักหรือเวนคืนตำแหน่งหน้าที่

          (๕) ให้กักบริเวณ

          (๖) ให้ทำงานภายในวัด

          (๗) ให้ทำทัณฑ์บนหรือให้ขอขมาโทษ

      มาตรา ๒๔ เมื่อสังฆสภาได้ร่างสังฆาณัติขึ้นสำเร็จแล้ว ให้สังฆนายกนายกนำขึ้นถวายสมเด็จพระสังฆราช เพื่อลงพระนาม และเมื่อได้ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์แล้วให้ใช้บังคับได้

      ถ้าสมเด็จพระสังฆราชไม่ทรงเห็นชอบด้วยร่างสังฆาณัตินั้น จะได้ประทานคืนมายังสังฆสภาภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่สังฆนายกนำขึ้นถวายก็ดี  หรือมิได้ประทานคืนมาภายในสิบห้าวันนั้นก็ดี สังฆสภาจะต้องปรึกษากันใหม่ และออกเสียงลงคะแนนลับ ถ้าและสังฆสภาลงมติตามเดิม ให้นำร่างสังฆาณัตินั้นขึ้นถวายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมิได้ลงพระนามภายในเจ็ดวันแล้ว ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาดู ถ้าเห็นสมควรก็ให้นำร่างสังฆาณัตินั้นเสนอประธานสังฆสภาภายในเจ็ดวัน ในกรณีเช่นนี้ให้ประธานสังฆสภาลงนามประกาศสังฆาณัตินั้น ใช้บังคับได้

     มาตรา ๒๕ สังฆสภามีอำนาจเลือกสมาชิกสังฆสภาตั้งเป็นคณะกรรมาธิการสามัญ และมีอำนาจเลือกพระภิกษุซึ่งเป็นสมาชิกสังฆสภาหรือมิได้เป็นสมาชิกสังฆสภาก็ตาม  ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อกระทำกิจการหรือพิจารณาสอบสวนข้อความอันอยู่ในวงงานของสังฆสภา   หรือเกี่ยวกับการคณะสงฆ์

      การประชุมคณะกรรมาธิการ จะต้องมีกรรมาธิการเข้าประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งจำนวน    จึงเป็นองค์ประชุมได้

      มาตรา ๒๖ สังฆสภามีอำนาจตั้งข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของสังฆสภา เพื่อดำเนินการตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้

      มาตรา ๒๗ การโฆษณาข้อความที่เกี่ยวกับการประชุมสังฆสภา คณะกรรมาธิการสังฆสภา  คณะสังฆมนตรีหรือคณะกรรมการที่คณะสังฆมนตรีตั้งขึ้นให้พิจารณาเป็นการลับ  จะทำได้ต่อเมื่อรับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

หมวด  ๓

คณะสังฆมนตรี

      มาตรา ๒๘ สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งสังฆมนตรีขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยสังฆนายกรูปหนึ่ง   และสังฆมนตรีอีกไม่เกินเก้ารูป (๙)

      ในการตั้งคณะสังฆมนตรี ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้ลงนามรับสนอง

      มาตรา ๒๙ สังฆนายกและสังฆนตรีอย่างน้อยสี่รูป ต้องเลือกจากสมาชิกของสังฆสภา นอกนั้นจะเลือกจากพระภิกษุผู้มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ แม้มิได้เป็นสมาชิกของสังฆสภาก็ได้

      สังฆมนตรีผู้มิได้เป็นสมาชิกสังฆสภา ย่อมมีสิทธิเข้าประชุมและแสดงความเห็นในสังฆสภาได้   แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน

      มาตรา ๓๐ สังฆนายกต้องรับผิดชอบในการบริหารการคณะสงฆ์ ส่วนสังฆมนตรีผู้ได้รับแต่งตั้งให้บริหารองค์การใดต้องรับผิดชอบในหน้าที่องค์การนั้น และสังฆมนตรีทุกรูปจะได้รับแต่งตั้งให้บริหารองค์การใดหรือไม่ก็ตาม ต้องรับผิดชอบร่วมกันในกิจการทั่วไปของคณะสังฆมนตรี

      มาตรา ๓๑ คณะสังฆมนตรีต้องออกจากหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์ เมื่อได้รับหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์มาเป็นเวลาครบสี่ปีแล้ว หรือลาออกทั้งคณะ หรือความเป็นสังฆนายกได้สิ้นสุดลง คณะสังฆมนตรีที่ออกนั้น ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการต่อไป จนกว่าคณะสังฆมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

      นอกจากนี้ ความเป็นสังฆมนตรีจะสิ้นสุดลง เฉพาะรูปเมื่อ

          (๑) ถึงมรณภาพ

          (๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ

          (๓) ลาออก

          (๔) รัฐมนตรีว่าการกระรวงศึกษาธิการถวายความเห็นให้ลาออก

      มาตรา ๓๒ สมเด็จพระสังฆราชทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะทรงตรากติกาสงฆ์ตามที่ระบุไว้ในสังฆาณัติ (๑๐) 

      มาตรา ๓๓ ให้จัดระเบียบบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลางเป็นองค์การต่าง ๆ คือ

          (๑) องค์การปกครอง

          (๒) องค์การศึกษา

          (๓) องค์การเผยแผ่

          (๔) องค์การสาธารณูปการ

      นอกจากนี้ จะให้มีสังฆาณัติกำหนดให้มีองค์การอื่นเพิ่มขึ้นอีกก็ได้

      ทุกองค์การต้องมีสังฆมนตรีรูปหนึ่งเป็นผู้ว่าการบังคับบัญชารับผิดชอบ ถ้าจำเป็นจะมีสังฆมนตรีช่วยว่าการก็ได้

      มาตรา ๓๔ ระเบียบบริหารการคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาคให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในสังฆาณัติ

      มาตรา ๓๕ ให้มีเจ้าคณะตรวจการในภาคต่าง ๆ ตามที่จะมีสังฆาณัติกำหนดไว้

      เจ้าคณะตรวจการมีอำนาจหน้าที่ควบคุมสั่งการ และแนะนำชี้แจงกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ  กฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบ

      มาตรา ๓๖ ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๘ สังฆาณัติ  กติกาสงฆ์ และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช อันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์นั้น ต้องมีสังฆมนตรีรูปหนึ่งลงนามรับสนอง (๑๑)

      มาตรา ๓๗ การแต่งตั้ง ถอดถอน หรือโยกย้ายพระอุปัชฌายะ และพระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งการบริหารการคณะสงฆ์ ให้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในสังฆาณัติ

หมวด  ๔

วัด

      มาตรา ๓๘ วัดมีสองอย่าง

          (๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว

          (๒) สำนักสงฆ์

      มาตรา ๓๙ การสร้าง การตั้ง การรวม การโอน การย้าย และการยุบเลิกวัด ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง

      การพระราชทานวิสุงคามสีมา ให้กระทำโดยพระบรมราชโองการ (๑๒)

      มาตรา ๔๐ ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัด มีดั่งนี้

          (๑) ที่วัด คือ ที่ซึ่งตั้งวัดจนตลอดเขตวัดนั้น

          (๒) ที่ธรณีสงฆ์ คือ ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด

          (๓) ที่กัลปนา คือ ที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้วัดหรือพระศาสนา

      มาตรา ๔๑ ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ

      มาตรา ๔๒ วัดหนึ่งให้มีเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง และถ้าเป็นการสมควรจะให้มีรองเจ้าอาวาส   หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปหนึ่ง    หรือหลายรูปก็ได้

      มาตรา ๔๓ เจ้าอาวาสมีหน้าที่ดังนี้

          (๑) บำรุงรักษาจัดการวัดและสมบัติของวัดให้เป็นไปโดยระเบียบเรียบร้อยตามสังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ กฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบ

          (๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีถิ่นที่อยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ กฎหมาย   ข้อบังคับ และระเบียบ

          (๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรมและสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิตและคฤหัสถ์

          (๔)  ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล

      มาตรา ๔๔ เจ้าอาวาสมีอำนาจดั่งนี้ 

          (๑) ห้ามบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ซึ่งมิได้รับอนุญาตของเจ้าอาวาสเข้าไปอยู่ในวัดนั้น (๑๓)

          (๒) ขับไล่บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสของเจ้าอาวาสวัดนั้น

          (๓) กระทำทัณฑกรรมแก่บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ที่มีถิ่นที่อยู่หรือพำนักอาศัยในวัดนั้น ให้ทำงานภายในวัด หรือให้ทำทัณฑ์บน หรือให้ขอขมาโทษ ในเมื่อบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ในวัดนั้นประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวาส ซึ่งได้สั่งโดยชอบด้วย พระธรรมวินัย สังฆาณัติ   กติกาสงฆ์  กฎองค์การ กฎหมาย  ข้อบังคับ  หรือระเบียบ

      มาตรา ๔๕ บรรพชิตต้องมีสังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง และมีถิ่นที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

หมวด ๕

ศาสนสมบัติ

      มาตรา  ๔๖  ศาสนสมบัติแบ่งออกเป็นสองประเภท

          (๑)  ศาสนสมบัติกลาง ได้แก่ ทรัพย์สินของพระศาสนาซึ่งยังมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง

          (๒)  ศาสนสมบัติของวัด    ได้แก่  ทรัพย์สินของวัดใดวัดหนึ่ง

      มาตรา ๔๗ การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติกลาง ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงศึกษาธิการ

      มาตรา ๔๘ ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง เมื่อได้รับความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรีแล้ว ให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้งบประมาณนั้นได้

      มาตรา ๔๙ ศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามระเบียบซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะได้ตราไว้ ด้วยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรี

หมวด  ๖

คณะวินัยธร

      มาตรา ๕๐ การพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะวินัยธร

      มาตรา ๕๑ ระเบียบการแต่งตั้งคณะวินัยธรก็ดี ระเบียบวิธีพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ก็ดี  ให้เป็นไปตามสังฆาณัติ

      มาตรา ๕๒ คณะวินัยธรย่อมเป็นอิสระในการพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัยและสังฆาณัติ

หมวด  ๗

บทกำหนดโทษ

      มาตรา ๕๓ ผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา ๒๗ มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน

      มาตรา ๕๔ ผู้ใด

          (๑) มิได้รับบรรพชาอุปสมบทโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย แต่บังอาจแต่งกายเลียนแบบบรรพชิต

          (๒) หมดสิทธิที่จะได้รับบรรพชาอุปสมบท แต่มารับบรรพชาอุปสมบทโดยปิดบังความจริง  (๑๔)

          (๓) ต้องปาราชิกแล้ว ไม่สละการแต่งกายอย่างเพศบรรพชิต

          (๔) ต้องคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้สึกแล้วไม่สึก

มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน

      มาตรา ๕๕ ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ไทย หรือพระภิกษุสงฆ์คณะใดคณะหนึ่ง อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยกมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี(๑๕)

      มาตรา ๕๖ ไวยาวจักรผู้ใด กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ มีความผิดต้องระวางโทษฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตตามกฎหมายลักษณะอาญา

หมวด  ๘

บทเบ็ดเตล็ด

      มาตรา ๕๗ พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้   ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา

      มาตรา ๕๘ การปกครองคณะสงฆ์อื่น นอกจากคณะสงฆ์ไทย ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง

      มาตรา ๕๙ ให้กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสังฆสภา และสำนักงานเลขาธิการคณะสังฆมนตรี เพื่อการนี้ให้มีสิทธิเสนอคำชี้แจงในคณะสังฆมนตรี

บทเฉพาะกาล

      มาตรา ๖๐  ก่อนที่จะได้ทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้ครบถ้วน แต่อย่างช้าต้องไม่เกินแปดปี  นับแต่วันใช้พระราชบัญญัตินี้   ห้ามมิให้ออกสังฆาณัติ  กติกาสงฆ์ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช  กฎกระทรวง  หรือระเบียบใด ที่จะบังคับให้ต้องเปลี่ยนลัทธิอันได้นิยมนับถือและปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว  (๑๖)

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

พิบูลสงคราม

นายกรัฐมนตรี

ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๗๒หน้า ๑๓๙๑ 

ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๘๔


       (๑) นอกจากกฎกระทรวง  รัฐมนตรีมีอำนาจออกระเบียบตามความในมาตร   ๔๙  เกี่ยวกับศาสนสมบัติของวัด

       (๒)(๓) และ (๔) วิธีแต่งตั้งต่างกัน

       “สังฆสภา” ตั้งโดยเงื่อนไขแห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้  ฉะนั้น  เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศนามสมาชิก  โดยถือหลักตามเงื่อนไขแห่งพระราชบัญญัติ    สังฆสภาก็เป็นอันตั้งขึ้นแล้ว

       “คณะสังฆมนตรี”  สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้ง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้รับสนอง

       “คณะวินัยธร”  ต้องออกสังฆาณัติวางระเบียบการแต่งตั้งเสียก่อน  แล้วสมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งโดยพระบัญชา     สังฆมนตรีรูปหนึ่งลงนามรับสนอง

       (๕) วิธีตั้งผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราชเป็นการประจำนั้น    เป็นอันยกเลิก.

       (๖) ต้องถือลำดับ  ๑-๒-๓  ก่อน  แล้วจึงถือลำดับอาวุโส

สมมุติว่ามีตำเหน่งว่า  ๑  ตำแหน่ง  มีพระที่ควรจะได้เป็นสมาชิก  ๒  รูป  รูปหนึ่งเป็นคณาจารย์เอก  ๑๒  พรรษา  อีกรูปหนึ่งเป็นเปรียญเอก  ๑๕  พรรษา  ต้องให้พระคณาจารย์เอก ได้เป็นสมาชิก  แม้จะมีพรรษาน้อยกว่าก็ตาม แต่ถ้าเป็นคณาจารย์เอกเหมือนกัน  หรือเปรียญเอกเหมือนกัน  จึงให้ผู้มีอาวุโสสูงได้เป็นก่อน

       (๗)  ม. ๑๗  วรรค  ๓  หมายแต่เมื่อเป็นปัญหาในการตีความพระธรรมวินัย ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีหลักฐานยืนยัน  แต่ไม่หมายถึงการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในกรณีที่บังเกิดขึ้น.

       (๘)  เทียบกับทางบ้านเมืองได้ดังนี้

            สังฆาณัติ      เท่ากับ     พระราชบัญญัติ

            กติกาสงฆ์      เท่ากับ     พระราชกฤษฎีกา

            กฎองค์การ     เท่ากับ     กฎกระทรวง

            พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช    เท่ากับ          พระบรมราชโองการ

            ข้อบังคับ       เท่ากับ     กฎสำนักนายกรัฐมนตรี

            ระเบียบ (ทางคณะสังฆมนตรี)    เท่ากับ     ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี

            แต่ระเบียบนั้น  กระทรวงศึกษาธิการมีสิทธิออกได้ตามที่พระราชบัญญัตินี้อนุญาตไว้.

       (๙)  แม้ในมาตรานี้จะไม่บังคับจำนวนน้อยไว้  ก็ต้องมีอย่างน้อย ๕ รูปเพื่อให้สมบูรณ์ตามความในมาตรา ๒๙

       (๑๐)   วิธีการออกสังฆาณัติ  โดยไม่ผ่านสภา  เช่น  วิธีการออกพระราชกำหนดในทางบ้านเมืองนั้นไม่มีทางคณะสงฆ์  และการออกกติกาสงฆ์จะออกได้   แต่เท่าที่ระบุไว้ในสังฆาณัติ  ฉะนั้น  การเปิดปิดสภา ต้องทำเป็นพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช   ไม่ใช่ทำเป็นกติกาสงฆ์     อย่างพระราชกฤษฎีกาของทางบ้านเมือง

       (๑๑)  กิจการที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๒ (ตั้งประธานและรองประธานสังฆสภา)  มาตรา  ๒๐ (เรียกประชุมวิสามัญ) และ  มาตรา  ๒๘  (ตั้งคณะสังฆมนตรี)  ต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรับสนอง

       (๑๒)  ต่อไปนี้การพระราชทางวิสุงคามสีมา  ไม่ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ

       (๑๓)  อนุ (๑) (๒)  คำว่าคฤหัสถ์ในที่นี้    ไม่หมายถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไปในวัดโดยหน้าที่ราชการ

       (๑๔)  ความผิดตาม  อนุ  (๒)  แห่งมาตรานี้ กฎหมายเก่า   (จุลศักราช  ๑๑๕๔)   ลงโทษถึงประหารชีวิต  และความผิดตาม  อนุ(๓)  กฎหมายเก่าก็ลงโทษแรงเท่ากับกบฏ

       (๑๕)  ต่อไปนี้  การโฆษณาติเตียนกันในระหว่างธรรมยุตกนิกาย  และมหานิกาย  มีโทษจำคุก ๑ ปี  อนึ่ง  ผู้สอนศาสนาอื่น  ๆ  ถ้ากล่าวใส่ความคณะสงฆ์ไทย  ก็มีโทษตามมาตรานี้เหมือนกัน

(๑๖)  ห้ามแต่ที่จะบังคับ  แต่ถ้าไม่เป็นการบังคับ  เป็นแต่เพียงสังฆนิยม  คำชักชวนคำวิงวอนเหล่านี้  ย่อมทำได้