สังฆาณัติระเบียบคณะวินัยธร พุทธศักราช ๒๔๘๕

สังฆาณัติระเบียบคณะวินัยธร

พุทธศักราช ๒๔๘๕[1]

—————-

สมเด็จพระสังฆราช

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ พระสังฆราช

สกลมหาสังฆปริณายก

บัญญัติไว้ ณ วันที่ ๑ เดือน กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘*

—————

        โดยที่สังฆสภาลงมติว่า สมควรกำหนดระเบียบการแต่งตั้งคณะวินัยธร ตามความในมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔

        จึงมีพระบัญชาให้บัญญัติสังฆาณัติไว้ โดยคำแนะนำของสังฆสภา ดังต่อไปนี้

บททั่วไป

        มาตรา ๑ สังฆาณัตินี้ให้เรียกว่า “สังฆาณัติระเบียบการแต่งตั้งคณะวินัยธร พุทธศักราช ๒๔๘๕”

        มาตรา ๒ ให้ใช้สังฆาณัตินี้ตั้งแต่งวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป

        มาตรา ๓ ให้สังฆนายกรักษาการตามสังฆาณัตินี้

หมวดที่ ๑
คณะวินัยธร

        มาตรา ๔ สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้งคณะวินัยธรโดยบทบัญญัติแห่งสังฆาณัตินี้

        มาตรา ๕ คณะวินัยธรตามสังฆาณัตินี้ มี ๓ ชั้น คือ

             (๑) คณะวินัยธรชั้นต้น

             (๒) คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์

             (๓) คณะวินัยธรชั้นฎีกา

        มาตรา ๖ คณะวินัยธรชั้นต้น ได้แก่ คณะวินัยธรจังหวัด โดยปกติให้มีจังหวัดละหนึ่งคณะ แต่ถ้าจำเป็นจะให้มีมากกว่านั้น หรือจะรวมหลายจังหวัดให้มีหนึ่งคณะก็ได้

        มาตรา ๗ คณะวินัยธรชั้นต้น ให้อยู่ในสังกัดสมเด็จพระสังฆราช

        มาตรา ๘ คณะวินัยธรทุกคณะต้องประกอบด้วยหัวหน้าคณะหนึ่งรูป และพระวินัยธรอีกอย่างน้อยสามรูป

        มาตรา ๙ ให้มีประธานคณะวินัยธรหนึ่งรูป บริหารงานในคณะวินัยธรทั่วไป และเป็นหัวหน้าคณะวินัยธรชั้นฎีกาโดยตำแหน่ง

        มาตรา ๑๐ องค์คุณสำหรับพิจารณาแต่งตั้งคณะวินัยธร มีดังนี้

             (๑) คณะวินัยธรชั้นต้น

                  (ก) เป็นเปรียญ นักธรรมชั้นโท หรือเป็นนักธรรมชั้นเอก

                  (ข) มีพรรษาพ้น ๕

                  (ค) โดยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรี

                  (ง) มีสำนักอยู่ในเขตอำนาจแห่งคณะของตน

             (๒) คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์

                  (ก) เป็นเปรียญไม่ต่ำกว่า ๖ ประโยค และเป็นนักธรรมชั้นเอก

                  (ข) มีพรรษาพ้น ๕

                  (ค) โดยความเห็นชอบของคณะสังฆมนตรี

                  (ง) มีสำนักอยู่ในจังหวัดพระนครหรือธนบุรี

             (๓) ประธานคณะวินัยธรกับคณะวินัยธรชั้นฎีกา

                  (ก) เป็นสมาชิกสังฆสภา แต่มิได้ดำรงตำแหน่งสังฆมนตรี หรือเคยเป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์มาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี

                  (ข) มีพรรษาพ้น ๕

                  (ค) โดยความเห็นชอบของสังฆสภา

        มาตรา ๑๑ ประธานคณะวินัยธร หรือหัวหน้าคณะวินัยธร หรือพระวินัยธรย่อมพ้นจากหน้าที่ เมื่อ

             (๑) ถึงมรณภาพ

             (๒) พ้นจากความเป็นภิกษุ

             (๓) ลาออก

             (๔) ให้ออก

             (๕) ขาดองค์คุณตามมาตรา ๑๐

หมวดที่ ๒
เขตอำนาจของคณะวินัยธร

        มาตรา ๑๒ คณะวินัยธรชั้นต้นมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์อันเกิดขึ้นในเขตที่กำหนดตามประกาศแต่งตั้ง

        มาตรา ๑๓ คณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ ที่อุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของคณะวินัยธรชั้นต้น ทั่วราชอาณาจักร ตามบทบัญญัติแห่งสังฆาณัติว่าด้วยระเบียบวิธีพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์

        มาตรา ๑๔ คณะวินัยธรชั้นฎีกา มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ที่ฎีกาคำวินิจฉัยหรือคำสั่งของคณะวินัยธรชั้นอุทธรณ์ ตามบทบัญญัติแห่งสังฆาณัติว่าด้วยระเบียบวิธีพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์

        คำวินิจฉัยของคณะวินัยธรชั้นฎีกา เป็นอันถึงที่สุด ผู้ใดจะคัดค้านมิได้

หมวดที่ ๓
การบริหารในคณะวินัยธร

        มาตรา ๑๕ ประธานคณะวินัยธรต้องรับผิดชอบในงานธุรการของคณะวินัยธรทุกชั้น เพื่อการนี้ มีหน้าที่

             (๑) วางระเบียบปฏิบัติงานของคณะวินัยธร

             (๒) ให้คำแนะนำแก่พระวินัยธรทั่วไป

             (๓) ควบคุมดูแลการดำเนินงานของคณะวินัยธรทุกชั้นให้เป็นไปโดยเรียบร้อย และในการนี้มีอำนาจ

                  ๑) สั่งงานธุรการในคณะวินัยธรทั่วไป

                  ๒) สั่งพักและรายงานความผิดของพระวินัยธรในเรื่องนั้น หรือรายงานเรื่องอื่นไปยังสมเด็จพระสังฆราช

        มาตรา ๑๖ หัวหน้าคณะวินัยธรทุกคณะ ต้องรับผิดชอบการงานในคณะของตน เพื่อการนี้มีหน้าที่

             (๑) อำนวยการพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ ให้เป็นไปตามหลักพระวินัย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ สังฆาณัติ หรือระเบียบแบบแผนข้อบังคับใด ๆ ของคณะสงฆ์

             (๒) ให้คำแนะนำแก่พระวินัยธรประจำคณะของตน

             (๓) ควบคุมดูแลการดำเนินงานในคณะของตน ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย

            (๔) เสนอรายงานคณะวินัยธรตามระเบียบ และมีอำนาจ

                  ๑) นั่งร่วมพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์อันมาถึงคณะของตน หรือเมื่อได้ตรวจสำนวนอธิกรณ์ใด ๆ แล้ว มีอำนาจลงชื่อในคำวินิจฉัยนั้น หรือทำความเห็นแย้งได้

                  ๒) สั่งงานธุรการในคณะของตน

                  ๓) สั่งพักหรือรายงานความผิดของพระวินัยธรได้ตามระเบียบ

        มาตรา ๑๗ เมื่อตำแหน่งหัวหน้าคณะวินัยธรคณะใดว่างลง ให้พระวินัยธรผู้มีอาวุโสในคณะนั้น รักษาการแทนจนกว่าจะมีการแต่งตั้งใหม่

        เฉพาะผู้รักษาการแทนในหน้าที่หัวหน้าคณะวินัยธรชั้นฎีกา ให้รักษาการในหน้าที่ประธานคณะวินัยธรด้วย

        มาตรา ๑๘ พระวินัยธรรูปใดรูปหนึ่งมีหน้าที่

             (๑) ดำเนินงานอันเกี่ยวกับอธิกรณ์ที่มาถึงคณะของตน

             (๒) ขอและฟังคำแนะนำของหัวหน้า

             (๓) ปฏิบัติงานธุรการตามคำสั่งของหัวหน้า และมีอำนาจ

                  ๑) นั่งร่วมพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์และลงชื่อ หรือทำความเห็นแย้งในคำวินิจฉัยนั้นได้

                  ๒) สั่งหรือเรียกให้ส่งซึ่งบุคคลหรือวัตถุ ที่เกี่ยวกับอธิกรณ์มาจากหรือไปจากที่นั้น ๆ

                  ๓) ออกคำสั่งใด ๆ ซึ่งมิใช่เป็นคำวินิจฉัยอธิกรณ์

        มาตรา ๑๙ องค์คณะในการพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ ต้องประกอบด้วยพระวินัยธรร่วมกันไม่น้อยกว่าสามรูป

        หากพระวินัยธรรูปใดไม่สามารถจะนั่งพิจารณาอธิกรณ์ให้ครบองค์คณะได้ตามบทบัญญัติแห่งสังฆาณัติว่าด้วยระเบียบวิธีพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ไซร้ ให้พระวินัยธรที่นั่งพิจารณาอธิกรณ์นั้น มีอำนาจนิมนต์พระเถระ ผู้ทรงคุณทางพระวินัยเข้าร่วมพิจารณาในฐานะพระวินัยธรสำรองได้เพียง ๑ รูป ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าพระเถระนั้น เป็นพระวินัยธรสำหรับการประชุมพิจารณาอธิกรณ์คราวนั้น และมีสิทธิให้ความเห็นในการวินิจฉัย แต่ถ้าคู่อธิกรณ์ยินยอมจะเข้าประชุมวินิจฉัยร่วมด้วยก็ได้

        เมื่อมีเหตุเช่นนั้นเกิดขึ้น ให้หัวหน้าคณะวินัยธรประจำชั้นนั้น ๆ รายงานไปยังประธานคณะวินัยธรทันที

ผู้รับสนองพระบัญชา

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

สังฆนายก


            [1] ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๓๐ ภาคพิเศษ ฉบับที่ ๓ : ๑๕ สิงหาคม ๒๔๘๕