คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่อง ให้ภิกษุสามเณรเรียนพระธรรมวินัย พ.ศ. ๒๕๒๘

คำสั่งมหาเถรสมาคม

เรื่อง ให้ภิกษุสามเณรเรียนพระธรรมวินัย

พ.ศ. ๒๕๒๘[1]

———————-

      อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พ.ศ. ๒๕๐๕ มหาเถรสมาคมออกคำสั่งมหาเถรสมาคมไว้  ดังต่อไปนี้

      ข้อ ๑ คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ เรียกว่า “ คำสั่งมหาเถรสมาคม เรื่องให้ภิกษุสามเณรเรียนพระธรรมวินัย พ.ศ. ๒๕๒๘”

      ข้อ ๒ คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป

      ข้อ ๓ ให้ยกเลิกประกาศให้ภิกษุสามเณรเรียนพระธรรมวินัย  ลงวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๘๑

      ข้อ ๔ พระภิกษุมีพรรษายังไม่ถึง ๕  และสามเณรรูปใดที่ยังไม่มีวิทยฐานะเป็นนักธรรมชั้นใดชั้นหนึ่ง  ให้เจ้าอาวาสกวดขันให้เรียนพระธรรมวินัย หรือเข้ารับการอบรมพระธรรมวินัยทุกรูป ถ้าภิกษุสามเณรรูปใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม ชื่อว่าไม่ตั้งอยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส หรือประพฤติผิดคำสั่งเจ้าอาวส มีความผิดตามมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕

      อนึ่ง  ถ้าและเจ้าอาวาสรูปใดไม่กวดขันภิกษุสามเณรในวัดของตนย่อมมีความผิดฐานละเลยต่อหน้าที่

      ข้อ ๕ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสและเจ้าคณะเจ้าสังกัดทุกระดับจนถึงระดับจั้งหวัดร่วมกันจัดการโดยความอำนวยการของเจ้าคณะภาคเจ้าคณะสังกัด จัดให้มีการเล่าเรียนหรือการอบรมพระธรรมวินัย ในเขตตำบลทางปกครองคณะสงฆ์นั้น ๆ ในรูปแบบ ดังนี้

             ก.  วัดใดในเขตตำบลนั้น พอจัดตั้งโรงเรียนนักธรรมได้ ก็ให้จัดตั้งขึ้นและให้ภิกษุสามเณรในวัดอื่นมารวมเรียนด้วย

             ข.  ถ้าภิกษุสามเณรในเขตตำบลนั้น ไม่สามารถจะมาร่วมเรียนได้เพราะมีเหตุขัดข้องหลายประการก็ดี

วัดแต่ละวัดในเขตตำบลนั้นไม่อาจตั้นโรงเรียนนักธรรมได้ก็ดี  ต้องจัดให้มีการอบรมพระธพรรมวินัย อนุโลมตามหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี

      ข้อ ๖ การอบรมพระธรมวินัยตามที่กล่าวไว้ในข้อ ๕  ข. ให้ดำเนินการดังนี้

             ก.   วัดใดอันท่านเจ้าอาวาสให้ความรับรองว่าจะจัดให้มีการอบรมพระธรรมวินัยให้แก่ภิกษุสามเณรในเขตเข้าพรรษา โดยเจ้าอาวาสจะเป็นผู้อบรมเอง หรือจะมอบหมายให้พระภิกษุรูปอื่นอบรมแทน ให้ถือว่าวัดนั้นมีการอบรมพระธรรมวินัยแล้ว หากภิกษุสามเณรในวัดอื่นจะมาร่วมรับการอบรมด้วยก็ได้  โดยความเห็นชอบของเจ้าอาวาสวัดนั้น

             ข. ในเขตตำบลทางปกครองคณะสงฆ์ใด ไม่อาจตั้งบโรงเรียนนักธรรม หรือจัดให้มีการอบรมเฉพะวัดได้ ให้เจ้าอาวาสวัดในเขตตำบลนั้น พร้อมด้วยเจ้าคณะเจ้าสังฆ์กัดถึงระดับจังหวัด จัดให้มีการอบรมพระธรรมวินัยเฉพาะกิจขึ้นในเขตเข้าพรรษา โดยจัดรวมภิกษุสามเณรในวัดนั้นๆ ให้เข้ารับการอบรมร่วมกัน ณ วัดใดวัดหนึ่งที่เห็นสมควร และต้องมีจำนวนรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า ๑๕ รูป ในการอบรมนั้นให้อบรมในวันโกนวันพระหรือวันธรรมสวนะ เว้นวันปาฏิโมกข์ วันละ ๓ ชั่วโมง ให้เจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล และเจ้าคณะอำเภอ ร่วมกันจัดให้มีกาอบรมพระธรรมวินัย อนุโลมตามหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี

      ข้อ ๗ การอบรมพระธรรมวินัยตามข้อ ๖ ข. ทางคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมจะให้ความอุปถัภ์แก่ผู้ให้การอบรม คิดเป็นรายวันที่มีการอบรมเป็นกัปปิยภัณฑ์มูลค่าวันละ ๖๐ บาท                          

      ข้อ ๘ ให้มีการทดสอบความรู้ในแบบตอบปัญหาที่เคยเรียกกันว่าสอบนวกะ อนุโลมตามหลักการสอบไล่นักธรรมสนามหลวง จะจัดให้มีการรวมที่จังหวัดแห่งเดียว หรือจะจัดแบ่งแต่ละอำเภอ แต่ละตำบล ให้เจ้าอาวาสเจ้าคณะผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้จะตกลงกัน แต่ถ้าจะแบ่งสอบแต่ละแห่ง ต้องมีผู้สมัครเข้าสอบไม่น้อยกว่า ๒๐ รูป

      สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร จะแบ่งสอบแต่ละสำนักเรียน ก็ย่อมกระทำได้ โดยไม่กำหนดจำนวนผู้สมัครสอบ

      ข้อ ๙ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ส่วนภุมิภาค ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะภาคเจ้าสังกัดเป็นผู้ออกข้อสอบ ส่วนการตรวจใบตอบของนักเรียน  เจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะอำเภอเจ้าสังกัดร่วมกันจัดการตรวจ อนุโลมตามแบบตรวจนักธรรมสนามหลวง

      สำหรับนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร การออกข้อสอบก็ดี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร หรือเจ้าสำนักเรียนนั้นๆ จะเป็นผู้ดำเนินการสุดแต่จะตกลงกัน

      ข้อ ๑๐ ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดเจ้าสังกัด ที่จะออกวุฒิบัตรให้แก่ภิกษุสามเณรผู้เข้าสอบไล่ได้ตามคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร จะเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร หรืเจ้าสำนักเรียนนั้นๆ สุดแต่จะตกลงกัน

      ข้อ ๑๑ ให้เจ้าอาวาสและเจ้าคณะทุกระดับ จะพึงร่วมกันปฏิบัติภารกิจอันเป็นหน้าที่ตามที่กำหนอไว้ในคั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้สำเร็จไปด้วยดี หากมีปัญหาเกิดขึ้นในการที่จะปฏิบัติตามคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ให้เจ้าคณะภาคเจ้าสั่งกัด หรือเจ้าคณะกรุงวเทพมหานคร เสนอเรื่องไปยังมหาเถรสมาคมผ่านสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม.

      สั่ง ณ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๘

สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์

(สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์)

ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ประธานธรรมกรรมการมหาเถรสมาคม


[1]  ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๗๓ ตอนที่ ๕ :  ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๒๘