ตอนที่ ๕ เปรียญ

ตอนที่ ๕

เปรียญ

————-

        เปรียญ เป็นคำที่ใช้อยู่ในวงการคณะสงฆ์ในปัจจุบันซึ่งเป็นคู่กับว่า   พระมหา ขอขยายความเพื่อเป็นแนวทางการศึกษาดังนี้

        ๑เปรียญ  เป็นชื่อประเภทแห่งสมณศักดิ์ซึ่งโปรดพระราชทานแก่ผู้สอบความ รู้บาลีได้  แต่มิใช่เป็นเครื่องหมายสมณศักดิ์ ดังคำว่า พระราชาคณะ เป็นชื่อแห่งประเภทสมณศักดิ์ชั้นสูง  มิใช่คำที่จะนำไปใช้นำหน้าราชทินนาม คำนำหน้าเปรียญใช้ว่า พระมหา เหมือนคำนำหน้าราชทินนามของพระราชาคณะว่า พระ เปรียญตามนัยนี้มีขึ้นเพราะการทรงตั้ง

        ๒เปรียญ     เป็นชื่อของวิทยฐานะทางปริยัติธรรมดังปริญญาเป็นชื่อของวุฒิทางโลก  เปรียญตามนัยนี้มี ๒ แบบคือ แบบเดิม  เป็นวิทยฐานะของผู้สอบได้บาลีอย่างเดียว  มิได้สอบนักธรรมด้วย  ไดัแก่ เปรียญสมัยก่อนเรียกกันว่า เปรียญ (.) หรือ เปรียญบาลี (ปบ.) แบบปัจจุบัน  เป็นวิทยฐานะของผู้สอบนักธรรมเป็นพื้นฐานแล้วจึงสอบได้บาลี เรียกว่าเปรียญธรรม (..) เปรียญธรรมตามความหมายนี้ ใช้ลงต่อท้ายราชทินนามหรือนามเดิมของผู้สอบได้เพื่อแสดงวิทยฐานะ เช่น พระศรีกิตติเวที ป.ธ.๙ อ่านเต็มว่า พระศรีกิตติเวที เปรียญธรรม ๙ ประโยค หรือ พระมหาอุดม  อุตฺตโม ป..  อ่านเต็มว่า พระมหาอุดม  อุตฺตโม เปรียญธรรม ๘ ประโยค และเปรียญธรรมตามนัยนี้มาพร้อมกับการสอบได้บาลี ๓ ประโยคขึ้นไป    

        ๓.  พระมหา  เป็นคำที่พระราชทานให้ใช้นำหน้านามเดิมของผู้สอบได้บาลี ๓ ประโยคขึ้นไป  ซึ่งได้รับการทรงตั้งเปรียญแล้ว  จึงเป็นเครื่องหมายของเปรียญที่ทรงตั้งแล้วนั่นเอง  เวลาทรงตั้งเรียกว่า ทรงตั้งเปรียญ พัศยศเรียกว่า พัดยศเปรียญ  คำเป็นเครื่องหมายสมณศักดิ์ใช้ว่า พระมหา และคำว่า พระมหา  โบราณเคยใช้นำหน้า ผู้ที่ทรงโปรดพิเศษก็มี  เช่น   พระมหาโต   พฺรหฺมรํสี    วัดระฆังโฆสิตาราม    โปรดในรัชกาลที่ ๑ เพราะเทศน์ได้ไพเราะและโปรดให้อุปสมบทเป็นนาคหลวง  แต่ในปัจจุบันนี้  โปรดพระราชทานเฉพาะผู้สอบบาลีได้ ๓ ประโยคขึ้นไปอย่างเดียว  รูปใดได้รับการทรงตั้งเปรียญเป็น พระมหา แล้ว  ถ้าได้รับการตั้งเป็นดำรงสมณศักดิ์อื่น ความเป็นพระมหาย่อมสิ้นสภาพไป ถ้าลาออกจากสมณศักดิ์แล้ว จะใช้คำว่า  พระมหา อีกมิได้  หรือลาสิกขาแล้วกลับอุปสมบทใหม่  จะใช้คำว่า พระมหาอีกก็มิได้  แต่เพราะเปรียญธรรมซึ่งเป็นวิทยฐานะยังคงอยู่  มีสิทธิสอบบาลีประโยคสูงต่อได้ 

        ๔.  คำว่า เปรียญ นั้น    ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นลำดับมา    เรียกว่า บาเรียน แบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ  บาเรียนตรี  บาเรียนโท  บาเรียนเอก  ในรัชกาลที่ ๒  ทรงปรับปรุงเป็น บาเรียน ๓ ประโยค ถึง บาเรียน ๙ ประโยค  และเทียบกันได้  บาเรียน ๓ เทียบกับบาเรียนตรี  บาเรียน ๔-๕-๖ เทียบกับบาเรียนโท  บาเรียน ๗-๘-๙ เทียบกับบาเรียนเอก  ต่อมาถึงปลายรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนคำว่า บาเรียน เป็น เปรียญ  คงจัดชั้นดังที่ปรับปรุงในรัชกาลที่ ๒  และได้ใช้สืบมาจนถึงในปัจจุบัน

        บาเรียน  เป็นชื่อคน  หมายถึงผู้สามารถเป็นครูสอน  เป็นชื่อวิทยฐานะ หมาย ถึงความรู้ชั้นครูสอน  เป็นชื่อสมณศักดิ์  หมายถึงสมณศักดิ์ชั้นผู้เป็นครูสอน  คำนี้มี ความหมายถึงความรู้และความสามารถ 

        เปรียญ  เป็นชื่อคน  หมายถึงผู้รู้รอบ  เป็นชื่อวิทยฐานะหมายถึงความรู้รอบ  เป็นชื่อสมณศักดิ์  หมายถึงสมณศักดิ์ชั้นผู้มีความรู้รอบ  คำนี้หมายถึง รู้ดีอย่างเดียว  มิได้หมายถึงความสามารถด้วย           ๕.  การทรงตั้งเปรียญ    ในปัจจุบันนี้  เฉพาะผู้สอบได้บาลี ๓ ประโยค  ทรงพระราชทานให้สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้ง  โดยประทานประกาศนียบัตรพัดยศชื่อว่าทรงตั้งแล้ว  ผู้ได้รับการทรงตั้งเปรียญแล้วใช้คำว่า “พระมหา”  นำหน้านามเดิม  เคยทรงตั้งในวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๖  แต่มิได้กำหนดแน่นอน  ส่วนผู้สอบได้บาลี ๖ ประโยค และ ๙ ประโยค  ทรงเสด็จพระราชทานประกาศนียบัตรพัดยศและไตรจีวรเอง  โดยปกติกำหนดวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖  ของทุกปี  ณ  พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

Views: 50