หมวด ๑
วิธีปฏิบัติเบื้องต้น
———————
ในหมวดนี้ กำหนดหลัก ๔ ประเด็นคือ
๑. ผู้ปฏิบัติในเบื้องต้น
๒. วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีโจทก์ฟ้องพระภิกษุ
๓. วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีผู้กล่าวหาพระภิกษุ
๔. วิธีปฏิบัติในกรณีที่พบเห็นพฤติการณ์หรือความผิด
๑. ผู้ปฏิบัติในเบื้องต้น
ผู้มีอำนาจปฏิบัติในเบื้องต้น คือ.-
(๑) ผู้พิจารณาเจ้าสังกัด
(๒) ผู้พิจารณาเจ้าของเขต
๒. วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีโจทก์ฟ้องพระภิกษุ
วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีโจทก์ฟ้องพระภิกษุนี้ มีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติดังนี้.-
๑. ผู้มีสิทธิ์เป็นโจทก์.-ผู้มีส่วนได้เสีย หรือผู้เสียหาย
๒. ผู้รับคำฟ้อง.-พระภิกษุผู้พิจารณา
๓. การยื่นคำฟ้อง.-ยื่นเป็นหนังสือ ถ้าจำเป็นมอบอำนาจให้คนอื่นยื่นแทนได้
๔. การรับคำฟ้อง.-ลงทะเบียนและออกใบรับหนังสือ แล้ว
(๑) ตรวจลักษณะโจทก์
(๒) ตรวจลักษณะคำฟ้อง
๕. การไม่รับคำฟ้อง.-
(๑) ลักษณะโจทก์หรือคำฟ้องบกพร่อง
(๒) บันทึกต่อท้ายแล้วแจ้งโจทก์
๖. ก่อนรับหรือไม่รับ.-เรียกโจทก์มาชี้แจงก่อนได้
๗. การปฏิบัติเมื่อรับแล้ว
(๑) ขั้นต้น.-ให้จำเลยมาชี้แจงสอบถามรายละเอียด จดบัทึกคำให้การและให้ลงชื่อไว้ด้วย
(๒) ขั้นกลาง.-การปฏิบัติเมื่อจำเลยสารภาพหรือในกรณีความแพ่ง
(ก) ถ้ารับสารภาพสมตามคำฟ้องสั่งของนิคหกรรมได้ แม้รับสารภาพเกินกว่าคำฟ้องก็อาจสั่งลงได้
(ข) ถ้าเป็นความแพ่ง ควรชี้แนะเพื่อประนีประนอมกัน
(๓) ขั้นสุดท้าย.-การปฏิบัติเมื่อจำเลยภาคเสธหรือปฏิเสธ
(ก) ส่งคำฟ้องพร้อมเอกสารประกอบต่อหัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้น
(ข) ต้องส่งผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับ
๘. การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำฟ้อง
(๑) หน้าที่โจทก์ ยื่นคำอุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน
(๒) หน้าที่ผู้ออกคำสั่งส่งคำอุทธรณ์พร้อมเรื่องเติมให้หัวหน้าคณะผู้พิจารณา ภายใน ๑๕ วัน
(๓) หน้าที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้น
(ก) วินิจฉัยให้เสร็จภายใน ๓๐ วัน
(ข) ให้แจ้งแก่ผู้ออกคำสั่งเพื่อแจ้งแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน
(๔) ผลการวินิจฉัยการอุทธรณ์
(ก) ผลต่อเนื่องเพราะให้รับคำฟ้องให้ผู้พิจารณารับคำฟ้องไว้ดำเนินการตามข้อ ๑๓
(ข) ผลยุติเพราะไม่รับคำฟ้อง ให้ผู้พิจารณาสั่งจำหน่ายเรื่องเสีย
๓. วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีผู้กล่าวหาพระภิกษุ
วิธีปฏิบัติในกรณีที่มีผู้กล่าวหาพระภิกษุนั้น มี หลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้.-
๑. ผู้มีสิทธิกล่าวหา
(๑) พระภิกษุปกตัตตะและสามเณร
(๒) คฤหัสถ์ผู้นับถือพระพุทธศาสนา
๒. การยื่นคำกล่าวหา.-ให้ยื่นเป็นหนังสือ ให้ผู้อื่นยื่นแทนมิได้
๓. การรับคำกล่าวหา.- รับเข้าทะเบียนและออกใบรับ แล้ว
(ก) ตรวจลักษณะของผู้กล่าวหา
(ข) ตรวจลักษณะคำกล่าวหา
๔. การปฏิบัติเมื่อรับแล้ว
– ปฏิบัติตามข้อ ๑๓ โดยแบ่งเป็น ๓ ขั้นดังในกรณีที่มีโจทก์ฟ้อง
๕. การไม่รับ
(๑) ถ้าเป็นลหุกาบัติ สั่งเองในทันที
(๒) ถ้าเป็นครุกาบัติ ขอความเห็นชอบจากคณะผู้พิจารณาชั้นต้นก่อนจึงสั่งได้
๖. ก่อนรับหรือไม่รับ.- ให้เรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงก่อนได้
๔. วิธีปฏิบัติในกรณีพบเห็นพฤติการณ์หรือความผิด
๑. ในกรณีที่ผู้พบเห็นไม่มีอำนาจ
(๑) การแจ้งความผิด
(ก) ให้แจ้งเป็นหนังสือ
(ข) ให้แจ้งต่อผู้พิจารณา
(๒) การรับแจ้งความผิด.-รับเข้าทะเบียนแล้วตรวจลักษณะผู้แจ้งความผิด
(๓) การดำเนินการ
(ก) ขั้นต้น.- ให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงรายละเอียด
(ข) ขั้นกลาง.- การปฏิบัติเมื่อรับสารภาพหรือกรณีมีความแพ่ง เช่นกับกรณีที่มีโจทก์ฟ้อง
(ค) ขั้นสุดท้าย.-การปฏิบัติเมื่อภาคเสธหรือปฏิเสธ เช่นกับกรณีที่มีโจทก์ฟ้อง
๒.กรณีที่ผู้พบเห็นมีอำนาจลงนิคหกรรม
(๑) เมื่อพบเห็นพฤติการณ์อันเป็นที่น่ารังเกียจสงสัย
(ก) ขั้นต้น.- บันทึกพฤติการข้อเท็จจริง และอื่น ๆ แล้วให้พระภิกษุผู้ต้องสงสัยชี้แจง จดบันทึกคำให้การและให้ลงชื่อไว้
(ข) ขั้นกลาง.- การปฏิบัติเมื่อรับสารภาพหรือกรณีความแพ่ง ดังเช่นในกรณีที่มีโจทก์ฟ้อง
(ค) ขั้นสุดท้าย.- การปฏิบัติเมื่อภาคเสธหรือปฏิเสธ ดังเช่นในกรณีที่มีโจทก์ฟ้อง
(๒) เมื่อพบเห็นการกระทำความผิดโดยประจักษ์ชัด
(ก) ให้อำนาจปฏิบัติการโดยเด็ดขาด
(ข) ให้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาเฉพาะสั่งลงนิคหกรรมฐานครุกาบัติ