หมวด ๒ วิธีไต่สวนมูลฟ้อง

หมวด ๒

วิธีไต่สวนมูลฟ้อง

——————–

     วิธีไต่สวนมูลฟ้อง เป็นวิธีเริ่มแรกในคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ซึ่งวิธีปฏิบัติในคณะผู้พิจารณาชั้นต้นนั้น แยกเป็น ๒ วิธี คือ “วิธีไต่สวนมูลฟ้อง” และ “วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น” ซึ่งผู้ศึกษาควรทราบความหมายและขั้นตอนแห่งวิธีทั้งสองนี้ ดังนี้.-

     ๑. วิธีไต่สวนมูลฟ้อง หมายถึง “วิธีไต่สวนของคณะผู้พิจารณาชั้นต้นเพื่อวินิจฉัยถึงมูลกรณีซึ่งจำเลยถูกฟ้อง” ขั้นตอนแห่งวิธีปฏิบัติ.-เริ่มตั้งแต่หัวหน้าคณะผู้พิจารณาชั้นต้นรับเรื่องราวจากผู้พิจารณาจนถึง “สั่งประทับฟ้อง” หรือ “สั่งยกฟ้อง”

     ๒. วิธีพิจารณาวินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นตั้น

           ก. วิธิพิจารณา หมายถึง “การพิจารณาใด ๆ อันเกี่ยวกับกรณีในคณะผู้พิจารณาชั้นต้นก่อนที่จะตัดสินชี้ขาดโดยคำวินิจฉัยหรือคำสั่ง” ขั้นตอนแห่งการปฏิบัติ.-เริ่มตั้งแต่การนัดวัน เวลา สถานที่ ที่จะพิจารณาหรือการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่โจทก์แทนสงฆ์ ในกรณีที่ยังไม่มีโจทก์ หลังจากประทับฟ้องแล้วเป็นต้นไปจนถึงการทำคำวินิจฉัย

           ข. วินิจฉัยการลงนิคหกรรมชั้นต้น หมายถึง การวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งคือ “ยกฟ้องของโจทก์” หรือ “ลงโทษจำเลย” ของคณะผู้พิจารณาชั้นต้น ขั้นตอนแห่งการปฏิบัติ.-เริ่มตั้งแต่คณะผู้พิจารณาชั้นต้นลงนามในคำวินิจฉัยเป็นต้นไป จนถึงให้โจทก์และจำเลยลงชื่อรับทราบคำวินิจฉัยนั้น

     ดังนั้น เพื่อให้พระสังฆาธิการได้ศึกษาวิธีไต่สวนมูลฟ้อง ได้กำหนดประเด็นเป็น ๗ คือ.-

             ๑. ผู้ไต่สวนมูลฟ้อง

             ๒. มูลฟ้องคืออะไร

             ๓. หลักและข้อพิสูจน์มูลฟ้อง

             ๔. หลักปฏิบัติในการไต่สวนมูลฟ้อง

             ๕. การดำเนินการเมื่อมีอุปสรรค

             ๖. ผลการไต่สวนมูลฟ้อง

             ๗. การอุทธรณ์คำสั่งยกฟ้อง

๑. ผู้ไต่สวนมูลฟ้อง

     วิธีไต่สวนมูลฟ้องในทางราชอาณาจักร เป็นวิธีปฏิบัติในศาลยุติธรรม และตามกฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้ กำหนดให้คณะผู้พิจารณาชั้นต้น ๗ อันดับ ทั้งที่เป็นเจ้าสังกัด ทั้งที่เป็นเจ้าของเขตแล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการ ซึ่งเทียบกับวิธีไต่สวนฟ้องในศาลยุติธรรม

๒. มูลฟ้องคืออะไร

     ตามความในข้อ ๑๗ มูลฟ้อง หมายถึง มูลเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์ซึ่งฟ้องจำเลยด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งคือ “ได้เห็น” “ได้ยินได้ฟัง” “รังเกียจสงสัย”

     การที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้น จะสั่งยกฟ้องกรณีใด หรือสั่งประทับฟ้องกรณีใด จะต้องไต่สวนมูลกรณีนั้น ๆ ก่อน โดยที่มาของกรณีซึ่งมาจากผู้พิจารณานั้น ย่อมมาจากการโจทก์ฟ้อง การกล่าวหา การแจ้งความผิด และจากการสงสัยในพฤติการณ์ ดังนั้น มูลฟ้องที่จะต้องไต่สวนจึงมี ๔ คือ.-

     ๑. มูลฟ้อง

     ๒. มูลคำกล่าวหา

     ๓. มูลคำแจ้งความผิด

     ๔. มูลพฤติการณ์อันเป็นที่น่ารังเกียจสงสัย

     ซึ่งมาจากข้อ ๑๓ (๒) ข้อ ๑๕ (๑) ข้อ ๑๖ (๑) และข้อ ๑๖ (๒) ตามลำดับ

๓. หลักและข้อพิสูจน์มูลฟ้อง

     ตามบทบัญญัติข้อ ๑๘ แยกหลักการเป็น ๒ คือ

           ๑. หลักพิสูจน์มูลฟ้อง.-ได้แก่พยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์

           ๒. ข้อมูล.-ได้แก่

             (๑) บทบัญญัติแห่งพระวินัย

             (๒) มูลเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อ ๑๗ ซึ่งโจทก์ยกขึ้นฟ้อง

๔. หลักปฏิบัติในการไต่สวนมูลฟ้อง

     ตามบทบัญญัติข้อ ๑๙ แยกหลักปฏิบัติเป็น ๕ คือ.-

     ๑. ให้ทำเป็นการลับ.-โดยอนุโลมตามข้อ ๓๐ ผู้มีสิทธิอยู่ในที่ไต่สวนได้คือ

           (๑)  โจทก์จำเลย

           (๒)  พยานเฉพาะที่กำลังให้การ

           (๓)  ผู้ที่ได้รับเชิญมาเพื่อปฏิบัติการใด

           (๔)  พระภิกษุผู้ทำหน้าที่จดบันทึกถ้อยคำสำนวน

     ๒. อำนาจพิเศษ

           (๑)  ในกรณีที่มีผู้ก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น

              (ก) สั่งให้ผู้นั้นตั้งอยู่ในความสงบเรียบร้อย

              (ข) สั่งออกให้ไปจากที่ไต่สวนหรือจากบริเวณ

           (๒) ขออารักขาต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายราชอาณาจักร       

     ๓. การมาฟังการไต่สวน

           (๑)  โจทก์ต้องมาฟังการไต่สวนทุกครั้ง

           (๒)  ถ้าโจทก์ไม่มา ๓ ครั้งติดต่อกันให้เรื่องเป็นอันถึงที่สุด

           (๓)  จำเลยจะมาฟังหรือไม่ก็ได้

     ๔. ความประสงค์ในการไต่สวนมูลฟ้อง

           (๑)  เพื่อทราบถึงบทบัญญัติแห่งพระวินัย

           (๒)  เพื่อทราบถึงมูลเหตุ

     ๕.การปฏิบัติ

           (๑)  เบื้องต้น นัดประชุมเพื่อเตรียมแผนงาน

           (๒)  ขั้นเริ่มการ กำหนดนัดวันเวลาสถานที่และส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลย

           (๓)  ขั้นปฏิบัติการ ปฏิบัติในการไต่สวนจนถึงสั่งประทับฟ้องหรือสั่งยกฟ้อง

๕. การดำเนินการเมื่อมีอุปสรรค

     ตามบทบัญญัติข้อ ๒๐ กำหนดไว้ ๒ คือ.-

     ๑. จำเลยถึงมรณภาพ ให้เรื่องเป็นอันถึงที่สุด

     ๒. โจทก์เสียชีวิต ให้แต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นโจทก์แทน

๖. ผลการไต่สวนมูลฟ้อง

     ตามบทบัญญัติข้อ ๒๑ การไต่สวนมูลฟ้อง ย่อมปรากฏเป็น ๒ คือ.-

           ๑. คำฟ้องมีมูล ให้สั่งประทับฟ้อง

           ๒. คำฟ้องไม่มีมูล     ให้สั่งยกฟ้อง

๗. การอุทธรณ์คำสั่งยกฟ้อง

     ตามบทบัญญัติข้อ ๒๒ กำหนดวิธีปฏิบัติไว้ ดังนี้.-

     ๑. คำสั่งที่ให้สิทธิอุทธรณ์

           (๑)  กรณีที่ฟ้องด้วยครุการบัติ       

           (๒)  มิใช่คำสั่งของมหาเถรสมาคม

     ๒. หน้าที่ผู้อุทธรณ์.-ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะผู้พิจารณาชั้นต้นภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง

     ๓. หน้าที่คณะผู้พิจารณาชั้นต้น.-ส่งอุทธรณ์ไปยังคณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับอุทธรณ์คำสั่ง

     ๔. หน้าที่คณะพิจารณาชั้นอุทธรณ์

           (๑)  ให้วินิจฉัยให้เสร็จภายใน ๓๐ วัน

           (๒)  ให้แจ้งแก่ผู้ออกคำสั่งเพื่อแจ้งแก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน

     ๕. ผลการวินิจฉัย

           (๑)  ผลต่อเนื่อง.-ให้ดำเนินการตามข้อ ๒๑ (๑)

           (๒)  ผลยุติ.-ให้เรื่องถึงที่สุด