หมวดที่ ๘
ว่าด้วยอำนาจ
———————–
มาตรา ๔๐ กำหนดหน้าที่.- เป็นหน้าที่กระทรวงธรรมการ และเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ จะช่วยอุดหนุนเจ้าคณะให้ได้กำลังและอำนาจพอที่จะจัดการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรานี้ บังคับให้เจ้ากระทรวงธรรมการและเจ้าพนักงานปกครองท้องที่ เป็นภาระช่วยอุดหนุนเจ้าคณะชั้นต่าง ๆ ให้มีกำลังและอำนาจพอที่จะอำนวยการกิจการคณะสงฆ์ตามอำนาจหน้าที่ได้ เทียบได้กับมาตรา ๑๓ ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และมาตรา ๕๙ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔
มาตรา ๔๑ กำหนดให้รับการปกครอง .- พระภิกษุสามเณรต้องฟังบังคับบัญชาเจ้าคณะ ซึ่งตนอยู่ในความปกครอง ถ้าไม่ฟังบังคับบัญชา หรือหมิ่นละเมิดอำนาจเจ้าคณะ มีความผิด เจ้าคณะมีอำนาจที่จะลงทัณฑกรรมได้
มาตรา ๔๒ กำหนดให้คฤหัสถ์ฟังอำนาจ .- ถ้าเจ้าคณะทำการตามหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ และคฤหัสถ์ผู้ใดลบล้างขัดขืนต่ออำนาจเจ้าคณะ ผู้นั้นมีความผิดต้องระวางโทษ ฐานขัดอำนาจเจ้าพนักงาน
ในมาตรา ๔๒ นี้ เป็นอันชัดเจนว่า เจ้าคณะตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นเจ้าพนักงาน
มาตรา ๔๓ กำหนดหลักเกณฑ์การวินิจฉัยคดี
๑) อำนาจวินิจฉัยของเจ้าคณะแขวง .-
(๑) เจ้าอาวาสเป็นจำเลย หรือ
(๒) เป็นคดีอุทธรณ์คำตัดสิน หรือคำสั่งของเจ้าอาวาส หรือ
(๓) รองเจ้าคณะแขวงเป็นจำเลย หรือ
(๔) ฐานานุกรมของเจ้าคณะแขวงเป็นจำเลย หรือ
(๕) เป็นคดีอุทธรณ์คำสั่งของรองเจ้าคณะแขวง หรือ
(๖) เป็นคดีอุทธรณ์คำสั่งของฐานานุกรมเจ้าคณะแขวง
คดีทั้ง ๖ ลักษณะนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าข้อวินิจฉัยคดีนั้น เป็นเรื่องลำพังพระวินัย หรือเป็นเรื่องในการบังคับบัญชาตามพระราชบัญญัตินี้ เจ้าคณะแขวงนั้น ๆ มีอำนาจตัดสินคดีนั้นได้
๒) อำนาจวินิจฉัยของเจ้าคณะเมือง .- คดีในลักษณะเช่นคดีที่กล่าวแล้ว ถ้าจำเลยหรือผู้อุทธรณ์ เป็น
(๑) เป็นเจ้าคณะแขวง หรือ
(๒) เป็นรองเจ้าคณะเมือง หรือ
(๓) เป็นฐานานุกรมของเจ้าคณะเมือง
ให้เจ้าคณะเมืองมีอำนาจตัดสินได้
๓) อำนาจวินิจฉัยของเจ้าคณะมณฑล .- คดีในลักษณะที่กล่าวมาแล้ว ถ้าจำเลยหรือผู้อุทธรณ์ เป็น
(๑) เจ้าคณะเมือง หรือ
(๒) รองเจ้าคณะมณฑล หรือ
(๓) ฐานานุกรมของเจ้าคณะมณฑล
(๔) ฐานานุกรมของรองเจ้าคณะมณฑล
ให้เจ้าคณะมณฑลมีอำนาจตัดสินได้
๔) พระราชอำนาจ.- คดีในลักษณะที่กล่าวมาแล้ว ถ้าจำเลยหรือผู้อุทธรณ์ เป็น
(๑) เจ้าคณะมณฑล หรือ
(๒) พระราชาคณะผู้กำกับแขวง
ให้โจทก์หรือผู้อุทธรณ์ ทำฎีกายื่นต่อกระทรวงธรรมการ เพื่อนำความถวายบังคมทูลพระกรุณา
ในมาตรา ๔๓ เป็นการมอบอำนาจตุลาการ ให้เจ้าคณะแขวง พระราชาคณะผู้กำกับแขวง เจ้าคณะเมือง และเจ้าคณะมณฑล อย่างชัดเจน สูงไปกว่านั้น ยังคงเป็นพระราชอำนาจอยู่ และจากการให้อำนาจการวินิจฉัยและการวินิจฉัยตามมาตรา ๔๓ นี้ ให้เห็นชัดว่าพระราชาคณะผู้กำกับแขวง มีฐานะเท่าเจ้าคณะมณฑล
มาตรา ๔๔ กำหนดให้พระราชาคณะปกครองพิเศษ .- นอกจากที่กล่าวมาในพระราชบัญญัตินี้ ทรงโปรดพระราชาคณะหรือสังฆนายก ปกครองคณะพิเศษมาแต่ก่อนตราพระราชบัญญัตินี้ ยังคงมีอำนาจและหน้าที่ปกครองวัดหลายวัด แต่มิได้เป็นผู้กำกับแขวง มีอำนาจหน้าที่ในการปกครองวัดที่ขึ้นเหมือนพระราชาคณะผู้กำกับแขวง
มาตรา ๔๕ กำหนดให้เป็นหน้าที่เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้จริง แต่มิได้กำหนดให้ออกกฎกระทรวง ดังในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ และในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน