หมวด ๓ คณะสังฆมนตรี

หมวด  ๓

คณะสังฆมนตรี

——————–

      มาตรา ๒๘ คณะสังฆมนตรี.- สมเด็จพระสังฆราชทรงตั้งสังฆมนตรีขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย

     ๑) สังฆนายกรูปหนึ่ง

     ๒) สังฆมนตรีอีกไม่เกิน ๙ รูป

      ในการตั้งสังฆมนตรี ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามรับสนอง

      การตั้งคณะสังฆมนตรี ตั้งพร้อมกันทั้งคณะในพระบัญชาเดียวกัน หรือพร้อมกันแต่แยกพระบัญชา มิได้ตั้งสังฆนายกก่อนแล้วให้โอกาสคัดเลือกสังฆมนตรี จึงอยู่ที่สมเด็จพระสังฆราชและผู้รับสนองพระบัญชาเป็นสำคัญ

      มาตรา ๒๙ คุณสมบัติคณะสังฆมนตรี.- ต้องเลือกจากสมาชิกสังฆสภา เฉพาะสังฆนายกและสังฆมนตรีอย่างน้อยสี่รูป ส่วนสังฆมนตรีนอกนั้น เลือกจากผู้มีความรู้และความชำนาญพิเศษแม้มิได้เป็นสมาชิกสังฆสภาก็ได้ สังฆมนตรีผู้มิได้เป็นสมาชิกสังฆสภามีสิทธิ

      (๑) เข้าประชุมและแสดงความเห็นในสังฆสภาได้

      (๒) แต่ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน

      มาตรา ๓๐ ความรับผิดชอบ.-

     ๑) สังฆนายกต้องรับผิดชอบในการบริหารการคณะสงฆ์ทั้งมวล

     ๒) สังฆมนตรีที่ได้รับแต่งตั้งให้บริหารองค์การใด ก็ต้องรับผิดชอบในหน้าที่องค์การนั้น

     ๓) สังฆมนตรีทุกรูป จะได้รับแต่งตั้งให้บริหารองค์การใดหรือไม่ก็ตาม ต้องรับผิดชอบร่วมกันในกิจการทั่วไปของคณะสังฆมนตรี

      มาตรา ๓๑ กำหนดให้คณะสังมนตรีต้องออกจากหน้าที่ เมื่อ.-

     ๑) ได้รับหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์เป็นเวลาครบ ๔ ปี หรือ

     ๒) ลาออกทั้งคณะ หรือ

     ๓) ความเป็นสังฆนายกสิ้นสุดลง

      คณะสังฆมนตรีที่ออกนั้น ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อดำเนินการต่อไป จนกว่าคณะสังฆมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

      นอกจากนี้ ความเป็นสังฆมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะรูป เมื่อ

     ๑) ถึงมรณภาพ

     ๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ

     ๓) ลาออก

     ๔) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการถวายความเห็นให้ลาออก

      มาตรา ๓๒ กำหนดสิทธิ.- สมเด็จพระสังฆราชทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะทรงตรากติกาสงฆ์ตามที่ระบุไว้ในสังฆาณัติ

      ในมาตรา ๓๒ เป็นอันเปิดโอกาสให้สมเด็จพระสังฆราชทรงตรากติกาสงฆ์ได้ เท่าที่จะมีสังฆาณัติระบุไว้ ให้กำหนดไว้ในสังฆาณัติ ซึ่งมิได้ให้โอกาสตราสังฆาณัติที่ไม่ผ่านสภา เช่น วิธีออกพระราชกำหนดทางราชอาณาจักร การเปิดปิดสภาต้องทำเป็นพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช

      มาตรา ๓๓ กำหนดระเบียบการบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลาง.- ให้จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางเป็นองค์การต่าง ๆ คือ

     ๑) องค์การปกครอง

     ๒) องค์การศึกษา

     ๓) องค์การเผยแผ่

     ๔) องค์การสาธารณูปการ

      นอกจากนี้ ให้โอกาสให้มีสังฆาณัติกำหนดองค์การอื่นเพิ่มขึ้นอีกได้

      ทุกองค์การต้องมีสังฆมนตรีรูปหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือรับผิดชอบ ถ้าจำเป็นจะมีสังฆมนตรีช่วยว่าการก็ได้

      ในมาตรา ๓ นี้ บัญญัติระเบียบการบริหารการคณะสงฆ์ส่วนกลางไว้ชัดเจน ระบุชัดว่า การบริหารการคณะสงฆ์ หมายถึงการบริหารงานในองค์การทั้ง ๔ หรืออาจเพิ่มอีกได้ ส่วนงานนิติบัญญัติก็ดีและการวินิจฉัยอธิกรณ์ มิได้จัดเป็นการปกครองดังเช่นกฎหมายปัจจุบัน เพราะผู้บริหารมีหน้าที่แตกต่างกันกับผู้ปกครองตามพระราชบัญญัติที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จำนวนสังฆมนตรีจำกัดไว้ หากจะมีสังฆาณัติเพิ่มองค์การ สังฆมนตรีก็คงเท่าเดิม

      มาตรา ๓๔ กำหนดส่วนภูมิภาค .- ระเบียบการบริหารการคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้เป็นไปตามที่กำหนดในสังฆาณัติ

      ในมาตรา ๓๔ นี้ ให้โอกาสตราสังฆาณัติกำหนดเอง แต่ต้องกลมกลืนกับส่วนกลาง ดังปรากฏในสังฆาณัติระเบียบพระคณาธิการ พ.ศ. ๒๔๘๖

     มาตรา ๓๕ กำหนด .- ให้มีเจ้าคณะตรวจการในภาคต่างๆ ตามที่จะมีสังฆาณัติกำหนดไว้ และกำหนดให้เจ้าคณะตรวจการมีอำนาจหน้าที่ควบคุม สั่งการและแนะนำ ชี้แจงกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารการคณะสงฆ์ ให้เป็นตามพระธรรมวินัย สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ กฎหมาย ข้อบังคับ และระเบียบ

      ในมาตรา ๓๕ นี้ กำหนดให้มีเจ้าคณะตรวจการทำหน้าที่ควบคุม สั่งการ แนะนำ ชี้แจงกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารการคณะสงฆ์ คล้ายกับผู้ตรวจการในทางราชอาณาจักร แต่จะมีอำนาจมากกว่า เมื่อตราสังฆาณัติได้กำหนดให้มีเจ้าคณะตรวจการผู้ช่วยเพิ่มขึ้นอีก

      มาตรา ๓๖ กำหนดผู้รับสนองพระบัญชา ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๒ มาตรา ๒๐ และมาตรา ๒๘ สังฆาณัติ กติกาสงฆ์และพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชอันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์นั้น ต้องมีสังฆมนตรีรูปหนึ่งลงนามรับสนอง

      ในมาตราทั้ง ๓ ที่กำหนดนี้ ดูตามบทบัญญัติในมาตรานั้นๆ มีกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามรับสนองอยู่แล้ว ที่กำหนดในมาตรานี้อีกดูจะมีอะไรซ่อนอยู่ ทั้งตรวจพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชว่าด้วยการนั้น ๆ เห็นมีแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามรับสนอง ทั้งใน ๓ มาตรานี้ มิได้กำหนดให้บัญญัติสังฆาณัติหรือกติกาสงฆ์แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีมาตรานี้ไว้เพื่อประโยชน์อะไร

      มาตรา ๓๗ บทบัญญัติว่า “การแต่งตั้ง ถอดถอน หรือโยกย้ายพระอุปัชฌายะและพระภิกษุอันเกี่ยวกับตำแหน่งการบริหารการคณะสงฆ์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในสังฆาณัติ”

      ในมาตรานี้มีคำว่า “หรือโยกย้าย” ให้โอกาสโยกย้ายเพื่อพิจารณา แต่ในสังฆาณัติมิได้กำหนด และในมาตรา ๓๗ นี้ ใช้คำว่า “พระอุปัชฌายะ” ต่างจากคำที่ใช้ในพระราชบัญญัติฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งใช้คำว่า “พระอุปัชฌาย์” โดยความเป็นอันเดียวกัน

Hits: 3