หมวด ๗
บทกำหนดโทษ
————————
โทษในหมวด ๗ นี้ เป็นโทษอาญาที่เกิดขึ้นเพราะละเมิดบทบัญญัติบางมาตราที่บัญญัติไว้ และละเมิดกติกาตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นโทษทางอาญาทั้งสิ้น มี ๔ มาตรา คือ
มาตรา ๕๓ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา ๒๗ มีความผิดต้องระวางจำคุกไม่เกินสามเดือน”
ซึ่งมาตรา ๒๗ ละเมิดเพราะการโฆษณาข้อความเกี่ยวกับการประชุมซึ่งมิได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ
มาตรา ๕๔ มีบทบัญญัติไว้ว่า ผู้ใด
๑) มิได้รับบรรพชาอุปสมบทโดยชอบด้วยพระธรรมวินัย แต่บังอาจแต่งกายเลียนแบบบรรพชิต
๒) หมดสิทธิที่จะได้รับบรรพชาอุปสมบท แต่มารับบรรพชาอุปสมบทโดยปิดบังความจริง
๓) ต้องปาราชิกแล้วไม่สละการแต่งกายอย่างเพศบรรพชิต
๔) ต้องคำวินิจฉัยถึงที่สุดให้สึกแล้วไม่สึก มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
มาตรา ๕๕ บทบัญญัติว่า “ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ไทย หรือพระภิกษุสงฆ์คณะใดคณะหนึ่ง อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี”
มาตรา ๕๖ บัญญัติว่า “ไวยาวัจกรผู้ใด กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ มีความผิดต้องระวางโทษฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตตามกฎหมายลักษณะอาญา” ในมาตรา ๕๖ นี้ เป็นที่สังเกตว่าบัญญัติแต่โทษไวยาวัจกรไว้ โดยฐานเจ้าพนักงานใช้อำนาจและตำแหน่งหน้าที่ในการทุจริต ตามกฎหมายลักษณะอาญา ซึ่งยอมรับว่าไวยาวัจกรเป็นเจ้าพนักงาน แต่มิได้ให้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งไวยาวัจกรไว้ ดังเช่นในมาตรา ๒๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ การได้มาซึ่งไวยาวัจกรจะมีได้ด้วยวิธีใด