หมวด ๘
บทเบ็ดเตล็ด
————–
ในหมวดนี้มีบทบัญญัติที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจจัดเข้าในหมวดใดได้สนิท จึงรวมเป็นหมวดเบ็ดเตล็ด มี ๓ มาตรา คือ
มาตรา ๕๗ พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา
ในมาตรา ๕๗ กำหนดพิเศษว่า “ให้ถือว่าเป็นอย่างนี้เฉพาะพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัติ คือบังคับให้ถือว่าพระภิกษุดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา ส่วนไวยาวัจกรได้ว่าไว้ในมาตรา ๕๖ แล้ว
มาตรา ๕๘ บัญญัติให้.- การปกครองคณะสงฆ์อื่นนอกจากคณะสงฆ์ไทย ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง
ในพระราชบัญญัตินี้ ให้มีกฎกระทรวงกำหนดการปกครองคณะสงฆ์อื่น คือ จีนนิกายและอนัมนิกายอย่างชัดเจน
มาตรา ๕๙ กำหนดให้.- กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสังฆสภาและสำนักงานเลขาธิการคณะสังฆมนตรี เพื่อการนี้ให้มีสิทธิเสนอข้อชี้แจงในคณะสังฆมนตรี
ตามมาตรา ๕๙ นี้ ศูนย์รวมงานของฝ่ายบริหารชั้นสูงสุดและของฝ่ายนิติบัญญัติ คงอยู่ในแวดวงราชการโดยตรง ดังเช่นในมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕
บทเฉพาะกาล
บทเฉพาะกาลนี้ เป็นบทที่กำหนดไว้เฉพาะว่าจะต้องกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ มีมาตราเดียว คือ
มาตรา ๖๐ มีบทบัญญัติว่า “ก่อนที่จะทำสังคายนาพระธรรมวินัยให้ครบถ้วน แต่อย่างช้า ต้องไม่เกินแปดปี นับแต่วันที่ใช้พระราชบัญญัตินี้ ห้ามมิได้ออกสังฆาณัติ กติกาสงฆ์ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช กฎกระทรวง หรือระเบียบใด ที่จะบังคับให้ต้องเปลี่ยนลัทธิอันได้นิยมนับถือและปฏิบัติกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว”
ในมาตรา ๖๐ นี้ แสดงความประสงค์ของรัฐบาลอย่างชัดเจน
๑) มุ่งหวังจะทำสังคายนาพระธรรมวินัยมีกำหนดอย่างช้าไม่เกินแปดปี นับแต่วันใช้พระราชบัญญัติ
๒) ห้ามมิได้ออกสังฆาณัติเป็นต้นที่จะบังคับให้เปลี่ยนแปลงลัทธิอันได้นิยมนับถือและปฏิบัติมานานแล้ว
๓) แต่จะใช้เป็นคำวิงวอนเชิญชวนได้
๔) ความมุ่งหวังแฝงอยู่คือการร่วมนิกายสงฆ์เป็นหนึ่งเดียว
นอกจากความในบทเฉพาะกาลแล้ว รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์เรื่องพระราชบัญญัติอย่างชัดเจน ความสำคัญตอนหนึ่งว่า “เป็นการเปิดทางให้ได้ทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นการใหญ่ และเมื่อสังคายนาเสร็จสิ้นลง แต่อย่างช้าไม่เกิน ๘ ปี นับแต่วันใช้พระราชบัญญัติ ก็อาจที่จะรวมนิกายสงฆ์เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ความสามัคคีกลมเกลียว ก็จะเกิดมีแก่ชาติไทยทั้งในทางบ้านเมืองและทางพระศาสนา ข้อนี้ควรเป็นที่ปีติยินดีของชาวไทยและพุทธศาสนิกชนทั่วกัน”