บทที่ ๔ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕

บทที่ ๔

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕

——————–

นำเรื่อง

—————–

         ต่อไปนี้ จะนำศึกษาพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่จัดระบบการปกครองคณะสงฆ์ ฉบับที่ ๓ และเป็นฉบับที่บังคับอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับปฏิรูป เพราะมีลักษณะผสมผสานระหว่างพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์พุทธศักราช ๒๕๔๘ ก่อนที่จะเรียนถวายตามลำดับมาตรานั้น ใคร่ขอเรียนถวายเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในขณะใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๘ ที่เห็นว่าควรจะทราบแต่ย่อ ๆ พอเชื่อมโยงกัน

         เหตุการณ์สำคัญที่ ๑ คือการที่คัดค้านการแต่งตั้งสังฆนายกรูปที่ ๓ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๔๙๔ ของคณะพระราชาคณะฝ่ายมหานิกาย เพราะการแต่งตั้งสังฆนายกแต่งตั้งแต่พระเถระในฝ่ายธรรมยุติติดต่อกันมาแต่เริ่มใช้พระราชบัญญัติถึง ๒ รูป และความขัดแย้งในการใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของคณะธรรมยุต ยกเอามาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มาใช้อีกอย่างชัดเจน จนเป็นเหตุให้มีการประชุมตกลงเงื่อนไขที่ตำหนักเพชร ๓ ประการ คือ

         ๑) การปกครองส่วนกลาง คณะสังฆมนตรีคงบริหารร่วมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย

         ๒) การปกครองส่วนภูมิภาค ให้แยกนิกาย

         ๓) ส่วนระเบียบปลีกย่อย จะได้ปรึกษาภายหลัง

         เมื่อตกลงในเงื่อนไขนี้ สังฆนายกก็ลาออก เปิดให้พระเถระฝ่ายมหานิกายเป็นสังฆนายก อันนี้เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง

         เหตุการณ์สำคัญที่ ๒ คือกรณีที่เกิดแก่พระเถระผู้ใหญ่ ๒ ท่าน ที่เคยดำรงตำแหน่งสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง และสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครอง ในปี ๒๕๐๓ เหตุการณ์รุนแรงถึงถอดจากตำแหน่งเจ้าอาวาสและถอดสมณศักดิ์ทั้ง ๒ ท่าน  ต่อมาในปี ๒๕๐๕ อีกท่านหนึ่งต้องถูกจับไปคุมขัง ณ สันติบาล ต้องสู้คดีในข้อหาอย่างร้ายแรงในศาลยุติธรรม แต่ก็ชนะคดีในที่สุด

         พอกล่าวสรุปได้ว่า เหตุการณ์ทั้ง ๒ กรณีนี้ เป็นมูลเหตุสำคัญที่มีให้บัญญัติพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งจะกล่าวต่อไป

พระราชบัญญัติ

         การตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติบันทึกเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติไว้ ซึ่งพอเก็บความได้ ๓ คือ.-

         ๑. การดำเนินในกิจการคณะสงฆ์ มิใช่กิจการอันพึงแบ่งแยกอำนาจดำเนินการด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อการถ่วงดุลแห่งอำนาจ

         ๒. ระบบแบ่งอำนาจดำเนินการนั้น เป็นการบั่นทอนประสิทธิภาพแห่งการดำเนินกิจการ

         ๓. แก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ใหม่ โดยมีหลักการ

                   ๑) ให้สมเด็จพระสังฆราชองค์สกลมหาสังฆปริณายก ทรงบัญชาการ

คณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม

                   ๒) ให้ทรงบัญชาการตามอำนาจแห่งกฎหมายและพระธรรมวินัย

                   ๓) ให้ทรงบัญชาการเพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา

         บทบัญญัติในพระราชบัญญัติฉบับนี้ มี ๔๖ มาตรา แบ่งเป็น ๘ ส่วน คือ.-

                   ๑. หมวดความเบื้องต้น มี ๖ มาตรา

                   ๒. หมวด ๑ สมเด็จพระสังฆราช มี ๕ มาตรา

                   ๓. หมวด ๒ มหาเถรสมาคม มี ๘ มาตรา

                   ๔. หมวด ๓ การปกครองคณะสงฆ์ มี ๔ มาตรา

                   ๕. หมวด ๕ วัด มี ๙ มาตรา

                   ๖. หมวด ๖ ศาสนสมบัติ มี ๒ มาตรา

                   ๗. หมวด ๗ บทกำหนดโทษ มี ๓ มาตรา

                   ๘. หมวด ๘ เบ็ดเตล็ด มี ๒ มาตรา

                   ขอนำศึกษาความตามลำดับดังต่อไปนี้.-

ความเบื้องต้น

     ตั้งแต่พระราชปรารถถึงมาตรา ๖ แม้มิได้บัญญัติว่าเป็นหมวดก็ตาม แต่โดยลักษณะควรจัดเป็นหมวดหนึ่ง เรียกว่า “ความเบื้องต้น” ในส่วนนี้มี ๖ มาตรา มีข้อความควรศึกษาดังนี้.-

     ๑. พระราชปรารภ.- โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะรัฐสภาดังต่อไปนี้ โดยนัยนี้แสดงว่า

                   ๑) พระราชบัญญัติฉบับเดิม ยังไม่เหมาะสมหรือมีความเหมาะสมน้อย

                   ๒) ปรับปรุงใหม่เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

                   ๓) ตราขึ้นในสมัยรัฐบาลคณะปฏิวัติ ในขณะที่สภาร่างรัฐธรรมนูญทำหน้าที่รัฐสภา

         ๒. มาตรา ๑ นามพระราชบัญญัติ

                   ๑) พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕

                   ๒) คำว่า คณะสงฆ์ ในมาตรานี้ หมายถึงพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ๒ คณะ คือ คณะสงฆ์ไทย ซึ่งเรียกว่า เถรวาท บ้าง หีนยาน บ้าง เรียก ทักษิณนิกาย บ้าง ซึ่งได้แก่ คณะมหานิกาย และคณะธรรมยุต และว่าด้วยคณะสงฆ์อื่น คือ จีนนิกาย และอนัมนิกาย ซึ่งเรียกว่า อาจริยวาท บ้าง มหายาน บ้าง อุตตรนิกาย บ้าง ซึ่งแขวนอยู่ด้วย

         ๓. มาตรา ๒ วันใช้บังคับ

                   ๑) ให้ไว้ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๕

                   ๒) ถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   ๓) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๕

                   ๔) คงใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๖ เป็นต้นไป

         ๔. มาตรา ๓ มีผลบังคับให้

           ๑) ยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๘

           ๒) ยกเลิกบทบัญญัติที่ตราขึ้น เพราะอาศัยพระราชบัญญัติดังกล่าว เช่น สังฆาณัติ กติกาสงฆ์

           ๓) ยกเลิกตำแหน่งและวิธีปฏิบัติตามสังฆาณัติ เป็นต้น

     ตำแหน่งที่ถูกยกเลิก คือ สังฆสภา คณะสังฆมนตรี กรรมการสังฆาณัติระเบียบ พระคณาธิการ คณะวินัยธร พระธรรมธร เจ้าคณะตรวจการ คณะกรรมการสงฆ์จังหวัด คณะกรรมการสงฆ์อำเภอ เลขานุการทุกชั้น ตำแหน่งอื่นมีบทเฉพาะกาลคุ้มครอง

         ๕.  มาตรา ๔-๕ บทเฉพาะกาล

           ๑) บทบัญญัติที่ใช้บังคับต่อไป คือ กฎกระทรวง สังฆาณัติ กติกาสงฆ์ กฎองค์การ พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ข้อบังคับ และระเบียบ เกี่ยวกับคณะสงฆ์ ซึ่งใช้อยู่ก่อนวันประกาศพระราชบัญญัตินี้ ในราชกิจจานุเบกษา ให้ใช้บังคับต่อไปได้ โดยมีเงื่อนไข ๓ อย่าง คือ

               (๑) ภายในระยะเวลาหนึ่งปี

              (๒) เฉพาะที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้

              (๓) จนกว่าจะได้ตราบทบัญญัติขึ้นใหม่

           ๒) ให้ตรากฎมหาเถรสมาคมมอบอำนาจหน้าที่ใด ๆ ซึ่งกำหนดไว้ในสังฆาณัติเป็นต้น ซึ่งตำแหน่งนั้น ๆ ไม่มีในพระราชบัญญัตินี้ และมหาเถรสมาคมได้ตรากฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๒ กำหนดให้อำนาจหน้าที่ตามสังฆาณัติเป็นต้น ในส่วนที่เป็น

                (๑) ของคณะสังฆมนตรีและของ ก.ส.พ. เป็นของมหาเถรสมาคม

                (๒) ของสังฆนายก และประธาน ก.ส.พ. เป็นของสมเด็จพระสังฆราช

                            (๓) ของสังฆมนตรีว่าการและสังฆมนตรีช่วยว่าการ เป็นของสมเด็จพระสังฆราช และสมเด็จพระราชาคณะ หรือพระราชาคณะ ที่ทรงมอบหมายโดยการเสนอของมหาเถรสมาคม

                            (๔) ของเจ้าคณะตรวจการ เป็นของเจ้าคณะภาค

                            (๕) ของคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด เป็นของเจ้าคณะจังหวัด

                            (๖) ของคณะกรรมการสงฆ์อำเภอ เป็นของเจ้าคณะอำเภอ

                            (๗) ของคณะวินัยธร แยกเป็น

                   อธิกรณ์ที่ค้างปฏิบัติอยู่ก่อนวันใช้พระราชบัญญัตินี้ เป็นของมหาเถรสมาคม

         นอกจากอธิกรณ์ที่ค้างปฏิบัติอยู่

                   (ก) อธิกรณ์ชั้นฏีกา เป็นของมหาเถรสมาคม

                   (ข) อธิกรณ์ชั้นอุทธรณ์ เป็นของคณะอนุกรรมการที่มหาเถรสมาคมตั้งขึ้น

                   (ค)  อธิกรณ์ชั้นต้น เป็นของเจ้าอาวาส ถ้าพระสังฆาธิการถูกฟ้อง เป็นของผู้บังคับบัญชาใกล้ชิด

         ๖. มาตรา ๖ ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ

                   ๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

                   ๒) ให้อำนาจออกกฎกระทรวง

                   ๓) กฎกระทรวงนั้น เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้

         เหตุที่ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ เพราะการคณะสงฆ์และการพระศาสนาตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นกิจการอันเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน