หมวด ๔
นิคหกรรมและการสละสมณเพศ
—————————————–
นิคหกรรม หมายถึง การลงโทษตามพระธรรมวินัยเรียกว่า ปรับอาบัติ โดยโทษมี ๓ สถาน คือ โทษอย่างหนัก ๑ โทษอย่างกลาง ๑ โทษอย่างเบา ๑ โทษอย่างหนักนั้น ในพระวินัยเรียกว่า อเตกิจฉา ในพระราชบัญญัตินี้ เรียกว่า นิคหกรรมให้สึก โทษอย่างกลางและอย่างเบาในพระวินัยเรียกว่า สเตกิจฉา ในพระราชบัญญัตินี้เรียกว่า นิคหกรรมไม่ถึงให้สึกและหมายถึงการลงโทษตามพระวินัยอย่างอื่น เช่น อุกเขปนียกรรม ก็ได้
การสละสมณเพศ หมายถึง การให้พระภิกษุสละเพศพระภิกษุเพราะเหตุอื่นจากนิคหกรรมให้สึก โดยคณะสงฆ์บังคับเองหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาณาจักรเป็นผู้บังคับ
นิคหกรรมและการสละสมณเพศ เป็นบทบัญญัติเพื่อลงโทษพระภิกษุตามพระธรรมวินัยและตามกฎหมายแผ่นดิน นับเป็นบทบัญญัติที่เกื้อกูลแก่การปกครองคณะสงฆ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะการปกครองคณะสงฆ์ย่อมอาศัยการยกย่องและข่ม เป็นหลักสำคัญ
บทบัญญัติเกี่ยวกับการนี้ มี ๗ มาตรา คือ
๒๓. มาตรา ๒๔ หลักการลงนิคหกรรม
๑) หลักเกณฑ์
(๑) พระภิกษุจะต้องรับนิคหกรรมต่อเมื่อล่วงละเมิดพระธรรมวินัย
(๒) มิให้ลงนิคหกรรมแก่ผู้มิได้ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย
๒) หลักนิคหกรรม
(๑) ต้องเป็นนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย
(๒) ห้ามมิให้ลงนิคหกรรมอื่น นอกจากนิคหกรรมตามพระธรรมวินัย
๒๔. มาตรา ๒๕ หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการลงนิคหกรรมให้ตรากฎมหาเถรสมาคม โดยมีเงื่อนไข ๔ ประการคือ
๑) เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม
๒) ให้ถือว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายที่มหาเถรสมาคมกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ในกฎมหาเถรสมาคม
๓) ให้อำนาจกำหนดผู้มีอำนาจลงนิคหกรรมชั้นใด ๆ ได้
๔) ให้กำหนดให้การวินิจฉัยลงนิคหกรรมเป็นอันยุติในชั้นใด ๆ ได้
มาตรานี้ มีเงื่อนไขบังคับให้บทบัญญัติใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎมหาเถรสมาคม เป็นการชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น ซึ่งต่างจากมาตราอื่นที่ให้อำนาจกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการโดยกฎมหาเถรสมาคม
๒๕. มาตรา ๒๖ นิคหกรรมให้สึก
๑) หลักเกณฑ์.– พระภิกษุใด
(๑) ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย และ
(๒) ได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุด ให้รับนิคหกรรมให้สึก
๒) การบังคับ
(๑) ต้องสึกภายในเวลา ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลาที่รับทราบคำวินิจฉัย
(๒) ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเป็นผู้บังคับตามคำวินิจฉัย
(๓) ถ้าไม่ยอมสึก ให้ขออารักขาทางราชอาณาจักร
๓) คำวินิจฉัยถึงที่สุดในกรณี
(๑) คำวินิจฉัยชั้นฎีกา ถึงที่สุดทันทีที่อ่านคำวินิจฉัยจบ
(๒) คำวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ ถึงที่สุดเมื่อไม่ฎีกาตามกำหนด
(๓) คำวินิจฉัยชั้นต้น ถึงที่สุดเมื่อไม่อุทธรณ์ตามกำหนด
(๔) คำสั่งผู้พิจารณา ถึงที่สุดเมื่อไม่อุทธรณ์ตามกำหนด
๒๖. มาตรา ๒๗ การบังคับให้สละสมณเพศตามคำสั่ง
๑) หลักเกณฑ์.- พระภิกษุรูปใด
(๑) ต้องคำวินิจฉัยให้รับนิคหกรรมไม่ถึงให้สึก แต่ไม่ยอมรับนิคหกรรมนั้น หรือ
(๒) ประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ หรือ
(๓) ไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งกับทั้งไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
๒) การบังคับ
(๑) มหาเถรสมาคมมีอำนาจวินิจฉัย และมีคำสั่งให้สละสมณเพศเสียได้
(๒) พระภิกษุรูปนั้นต้องสึกภายในเจ็ดวันนับแต่วันรับทราบคำวินิจฉัย
(๓) ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดเป็นผู้บังคับ
(๔) ถ้าไม่สึก ให้ขออารักขาต่อทางราชอาณาจักร
๒๗. มาตรา ๒๘ ให้สึกเพราะเป็นบุคคลล้มละลาย
๑) ต้องพิพากษาถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย
๒) ต้องสึกภายในสามวัน นับแต่วันคดีถึงที่สุด
๒๘. มาตรา ๒๙ ให้สละสมณเพศเพราะต้องหาในคดีอาญา
๑) ถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำผิดอาญา
๒) หลักเกณฑ์
(๑) เมื่อพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวและเจ้าอาวาสวัดนั้นไม่ยอมรับตัวไปควบคุม
(๒) เมื่อพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสวัดนั้นไม่ยอมรับตัวไปควบคุม
(๓) เมื่อพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม
(๔) มิได้สังกัดวัดใดวันหนึ่ง
๓) การบังคับ
(๑) ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละเพศเสียได้
(๒) เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะไม่มีอำนาจดำเนินการ แต่ต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน
มาตรานี้ยอมให้เจ้าอาวาสวัดนั้น รับตัวไปควบคุมได้เฉพาะพระลูกวัดต้องหา ถ้าเจ้าอาวาส หรือเจ้าคณะ หรือรองเจ้าคณะต้องหา มิได้บัญญัติให้ผู้ใดผู้หนึ่งรับตัวไปควบคุม
๒๙. มาตรา ๓๐ ให้สละสมณเพศตามศาลสั่ง
๑) หลักเกณฑ์: พระภิกษุใด
(๑) จะต้องถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาล
(๒) จะต้องถูกกักขังตามคำพิพากษาของศาล
(๓) จะต้องถูกขังตามคำสั่งของศาล
๒) วิธีการ ให้เจ้าพนักงานมีอำนาจดำเนินการ
(๑) ให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสีย
(๒) แล้วรายงานให้ศาลทราบ
เจ้าพนักงานตามมาตรานี้ หมายถึงเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์