หมวด ๕ วัด

หมวด ๕

วัด

———————-

     คำว่า “วัด” ในพระราชบัญญัตินี้ หมายถึงวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย มิได้หมายถึงสถานที่ซึ่งสร้างวัดโดยพลการ วัดเป็นหน่วยงานชั้นต้นแห่งพุทธจักรและเป็นศูนย์กลางประดิษฐานพระพุทธศาสนา วัดเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒ (๒) ซึ่งมีความว่า

     มาตรา ๗๒จำพวกที่กล่าวต่อไปนี้ ย่อมเป็นนิติบุคคล คือ

               (๑) ทบวงการเมือง

               (๒)วัดวาอาราม

               (๓) ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่จดทะเบียนแล้ว

               (๔) บริษัทจำกัด

               (๕) สมาคม

               (๖) มูลนิธิได้รับอำนาจแล้ว

     วัดเป็นนิติบุคคลที่มีกฎหมายให้อำนาจการจัดตั้งและการดำเนินกิจการเป็นเอกเทศ มีข้อควรศึกษาดังนี้

     ฐานะนิติบุคคล

               (๑) กฎหมายให้วัดเป็นนิติบุคคล กล่าวคือเป็นบุคคลโดยกฎหมาย

               (๒) วัดได้รับการคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎหมายอื่น

     สิทธิและหน้าที่ของวัด

               (๑) วัดมีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา

               (๒) แต่สิทธิและหน้าที่ดังว่านั้น จะต้องไม่ขัด

                    (ก) กับสภาพของวัด

                    (ข) กับบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

                    (ค) กับวัตถุประสงค์ของวัด

     ภูมิลำเนาของวัด

           (๑) วัดต้องมีภูมิลำเนา คือที่ตั้งวัดเหมือนบุคคลธรรมดา

           (๒) วัดต้องมีทะเบียนบ้านเช่นเดียวกับครอบครัวหนึ่ง ๆ

     การแสดงความประสงค์ของวัด

           (๑) วัดแสดงความประสงค์เองมิได้

           (๒) วัดแสดงความประสงค์ให้ปรากฏได้โดยอาศัยผู้แทน โดยมี

                (ก) ผู้แทนวัดโดยตำแหน่ง

                (ข) ผู้แทนวัดโดยแต่งตั้ง

     ๓๐. มาตรา ๓๑ วัดมี ๒ อย่าง

           ๑) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

           ๒) สำนักสงฆ์

           ทั้งสองอย่างนี้เป็นนิติบุคคลเสมอกัน แต่มีพิเศษกว่ากันทางพระวินัย

     ๓๑. มาตรา ๓๒ วิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับวัด

              ๑) ให้ออกกฎกระทรวงกำหนดวิธีการปฏิบัติ

                    (๑) การสร้างวัด

                    (๒) การตั้งวัด

                    (๓) การรวมวัด

                    (๔) การย้ายวัด

                    (๕) การยุบเลิกวัด

                    (๖) การขอพระราชทานวิสุงคามสีมา

                   ๒) ให้ทรัพย์สินของวัดที่ยุบเลิกตกเป็นศาสนสมบัติกลาง

                   ๓) ข้อควรศึกษาพิเศษ

                (๑) การสร้างวัด คือการขออนุญาตสร้างอันชอบด้วยกฎกระทรวง

                (๒) การตั้งวัด คือการขอตั้งวัด และได้ประกาศตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนาแล้ว

                (๓) การรวมวัด คือการขออนุญาตรวมวัดตั้งแต่สองวัดขึ้นไป ให้เป็นวัดเดียวกัน

                (๔) การย้ายวัด คือการขออนุญาตย้ายวัดไปตั้ง ณ ที่อื่น

                (๕) การยุบเลิกวัด คือการถอนสภาพนิติบุคคลของวัด

                    (๖) การขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา คือรายงานขอรับพระราชทานวิสุงคามสีมา

     ๓๒. มาตรา ๓๓ ที่วัดและที่ขึ้นต่อวัด

               ๑) ที่วัด คือที่ตั้งวัดตลอดจนเขตของวัด

              ๒) ที่ธรณีสงฆ์ คือที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด

              ๓) ที่กัลปนา คือที่ซึ่งมีผู้อุทิศแต่ผลประโยชน์ให้แก่วัด หรือพระศาสนา

     ที่วัดและธรณีสงฆ์นั้น เป็นกรรมสิทธิ์ของวัดสมบูรณ์ วัดจะต้องมีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน วัดใดครองที่ดินโดยมิได้มีหนังสือดังกล่าว ต้องได้พยายามเร่งรัดจัดทำไว้เป็นหลักฐาน

     ๓๓. มาตรา ๓๔ – ๓๕ การคุ้มครองที่วัดและที่ธรณีสงฆ์

           ๑) ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์โอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ

           ๒) ห้ามมิให้บุคคลใด ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สิน อันเป็นที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ (ม. ๓๔)

           ๓) ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดชอบแห่งการบังคับคดี (ม. ๓๕)

           ใน ๑) จะโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ใดมิได้ เว้นแต่จะตราพระราชบัญญัติเวนคืนเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ เช่น เวนคืนเพื่อสร้างถนน

           ในมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัตินี้ มิได้ห้ามการโอนไว้ ดังในมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑

               ใน ๒) หมายความว่า ผู้ใดจะครอบครองที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์ โดยสงบหรือโดยเปิดเผย โดยมีเจตนาเป็นเจ้าของมานานสักเท่าใดก็ตาม จะยกอายุครอบครองนั้นต่อสู้กับวัดมิได้ (ดูประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ประกอบ) ความท่อนนี้ ไม่มีในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔

               ใน ๓) หมายความว่า ผู้ใดจะฟ้องยึดที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ขายทอดตลาด เพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้ เพราะมีข้อยกเว้นไว้ในมาตรา ๒๘๕ ความในมาตรานี้ไม่มีในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธ – ศักราช ๒๔๘๔

     ๓๔. มาตรา ๓๖ ผู้ปกครองวัด

               ๑) โดยตำแหน่ง ให้วัดหนึ่ง มี

                    (๑) เจ้าอาวาสหนึ่งรูป

                    (๒) รองเจ้าอาวาส หรือผู้ช่วยเจ้าอาวาส รูปหนึ่งหรือหลายรูปก็ได้

           ๒) โดยฐานะของผู้ปกครองวัด เป็น

                    (๑) ผู้ปกครองวัดตามกฎหมายและพระธรรมวินัย

                    (๒) เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

                    (๓) ผู้แทนนิติบุคคล

                    (๔) ผู้แสดงความประสงค์ของวัด

                    (๕) ผู้ใช้สิทธิและหน้าที่ของวัด

           ๓) ฐานะของรองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส เป็น

                (๑) เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา

                (๒) ผู้ปฏิบัติการวัดตามที่เจ้าอาวาสมอบหมาย

     ๓๕. มาตรา ๓๗ หน้าที่ผู้ปกครอง วัดแยกตามลักษณะงาน

              ๑) การสาธารณูปการและการจัดกิจการและศาสนสมบัติ

                    (๑) บำรุงรักษาวัดให้เป็นไปด้วยดี

                    (๒) จัดกิจการของวัดให้เป็นไปด้วยดี

                (๓) จัดการศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี

               ๒) การปกครอง

                    (๑) ปกครองบรรพชิตในวัด

                    (๒) ปกครองคฤหัสถ์ในวัด

                    (๓) ควบคุมความประพฤติของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในวัด

               ๓) การศาสนศึกษาและการศึกษาสงเคราะห์

                    (๑) เป็นธุระในการจัดการศึกษา พระปริยัติธรรมแก่บรรพชิต

                    (๒) เป็นธุระในการจัดการศึกษา พระปริยัติธรรมแก่คฤหัสถ์

                    (๓) เป็นธุระในการอบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต

                    (๔) เป็นธุระในการอบรมสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่คฤหัสถ์

               ๔  การสาธารณสงเคราะห์

                    (๑) อำนวยความสะดวกในการบำเพ็ญกุศลตามปกติตามสมควร

                    (๒) อำนวยความสะดวกในการบำเพ็ญกุศลเป็นกรณีพิเศษตามสมควร

               อนึ่ง นอกจากนี้เจ้าอาวาสยังมีหน้าที่เกี่ยวกับการคณะสงฆ์อื่นอีก

     ๓๖. มาตรา ๓๘ อำนาจผู้ปกครองวัด

               ๑) การรับคนเข้า

                    (๑) ห้ามมิให้บรรพชิตซึ่งมิได้รับอนุญาตเข้าไปอยู่อาศัยในวัด

                    (๒) ห้ามมิให้คฤหัสถ์ ซึ่งมิได้รับอนุญาตเข้าไปอยู่อาศัยในวัด

               ๒) การเอาคนออก

                    (๑) สั่งบรรพชิต ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทให้ออกไปเสียจากวัด

                    (๒) สั่งคฤหัสถ์ ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทให้ออกไปเสียจากวัด

           ๓) อำนาจสั่งให้ช่วยงานในวัด

                (๑) สั่งให้บรรพชิตผู้อยู่ในวัดทำงานในวัด

                (๒) สั่งให้คฤหัสถ์ผู้อยู่ในวัดทำงานในวัด

               ๔) อำนาจสั่งลงโทษ

                (๑) สั่งลงโทษบรรพชิต ผู้ประพฤติผิดคำสั่งของเจ้าอาวาสซึ่งสั่งโดยชอบ

                (๒) สั่งลงโทษคฤหัสถ์ ผู้ประพฤติผิดคำสั่งของเจ้าอาวาสซึ่งสั่งโดยชอบ

                    (๓) โทษที่ลงนั้น ให้อำนาจเฉพาะ

                     (ก) ทัณฑกรรม กล่าวคือให้ทำงานภายในวัด

                     (ข) ให้ทำทัณฑ์บน

                     (ค) ให้ขอขมาโทษ

               อนึ่ง นอกจากนี้เจ้าอาวาสยังมีอำนาจเกี่ยวกับการคณะสงฆ์อื่นอีก

     ๓๗. มาตรา ๓๙ ผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส

               ๑) ให้แต่งตั้งในเมื่อ

                    (๑) ไม่มีเจ้าอาวาส และจะแต่งตั้งทันทีมิได้ หรือ

                    (๒) เจ้าอาวาสไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้

              ๒) ให้มีอำนาจและหน้าที่

                    (๑) อำนาจตามความในมาตรา ๓๘

                    (๒) หน้าที่ตามความในมาตรา ๓๗

              ๓) หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง

                    (๑)  ให้เป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม

                    (๒)  จะแต่งตั้งขัดกับกฏมหาเถรสมาคมมิได้