หมวด ๑
สมเด็จพระสังฆราช
——————————
สมเด็จพระสังฆราช เป็นตำแหน่งสูงสุดในทางพุทธจักร เพราะสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประมุขในการปกครองคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน และทรงเป็นพระสังฆบิดร มีมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน แต่ในสมัยกรุงสุโขทัย เรียกว่า “พระสังฆราช” เมื่อถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงเพิ่มคำว่า “สมเด็จ” นำหน้า เป็น “สมเด็จพระสังฆราช” และใช้เรียกชื่อตำแหน่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน เพราะคำว่า “สมเด็จ” เป็นคำถวายการยกย่องชั้นสูง สมเด็จพระสังฆราช แยกลักษณะที่ทรงสถาปนาเป็น ๔ คือ
๑) สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
๒) สมเด็จพระมหาสมณะ
๓) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
๔) สมเด็จพระสังฆราช
ในหมวดนี้ มีบทบัญญัติ ๕ มาตรา คือ
๗. มาตรา ๗ เป็นบทบัญญัติใหม่ มี ๓ วรรค
วรรคแรก เป็นข้อกำหนดให้มีสมเด็จพระสังฆราชเพียงองค์เดียวอย่างชัดเจน วรรคนี้เป็นหลักการอันสำคัญ ในบทบัญญัติเดิมมิได้กำหนดจำนวนไว้
วรรคสอง กำหนดวิธีการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช โดยให้หลักเกณฑ์และวิธีการ
๑) ในเมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง
๒) ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
๓) เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนา
วรรคสาม เป็นวิธีปฏิบัติในเมื่อสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ กำหนด
๑) ให้นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
๒) เสนอนามสมเด็จพระราชาคณะ ผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ ซึ่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนา
๘. มาตรา ๘ เป็นบทบัญญัติเดิม กำหนดฐานะและหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
๑) ทรงดำรงตำแหน่งสกลมหาสังฆปรินายก
๒) ทรงบัญชาการคณะสงฆ์
๓) ทรงตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช
การบัญชาการคณะสงฆ์และการตราพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม
อันตำแหน่งสกลมหาสังฆปริณายก เป็นตำแหน่งที่ทรงปกครองครองคณะสงฆ์ไทยและคณะสงฆ์อื่น เทียบกับตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ฉบับที่ยกเลิกแล้ว ส่วนตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคม ทรงใช้ในคณะสงฆ์ไทย เทียบได้กับตำแหน่งสังฆนายก ประธานสังฆสภา ประธานคณะวินัยธร ตามกฎหมายฉบับที่ยกเลิก และตำแหน่งประธาน ก.ส.พ. ตามสังฆาณัติ
อนึ่ง อำนาจหน้าที่ของสมเด็จพระสังฆราชแต่ละสมัยย่อมมีลักษณะแตกต่างกัน
๑) ในสมัยใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ โดยอาศัยพระบรมราชโองการ ทรงใช้อำนาจสิทธิ์ขาด
๒) ในสมัยใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ทรงใช้อำนาจ ๓ ทาง คือ ทางสังฆสภา ทางคณะสังฆมนตรี และทางคณะวินัยธร
๓) ในสมัยใช้ พรบ.คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ทรงใช้อำนาจทางมหาเถรสมาคม
๙. มาตรา ๙ เป็นบทบัญญัติใหม่ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ
๑) ในกรณีที่ทรงลาออกจากตำแหน่ง
๒) ในกรณีที่พระกรุณาโปรดให้ออกจากตำแหน่ง
พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จพระสังฆราช หรือตำแหน่งอื่นใดตามพระราชอัธยาศัยก็ได้
๑๐. มาตรา ๑๐ เป็นบทบัญญัติใหม่ แยกเป็น ๔ กรณี
๑) ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช
๒) ถ้าสมเด็จพระราชาคณะดังกล่าว ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เลือกสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
๓) ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ จะทรงแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
๔) ในกรณีที่มิได้แต่งไว้ หรือผู้ที่ทรงแต่งตั้งไว้ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ปฏิบัติตาม ๑) หรือ ๒) โดยอนุโลม
ในกรณีทั้ง ๔ นี้ ได้มีพระราชกำหนดให้แนวปฏิบัติการเสริมไว้ ดังนี้.-
ในกรณีที่ ๓ ถ้าสมเด็จพระสังฆราชทรงเห็นสมควรหรือในกรณีทั้ง ๑, ๒, ๔ ถ้ากรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เห็นเป็นการสมควร จะแต่งตั้งหรือเลือกสมเด็จพระราชาคณะหลายรูป ที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้เป็นคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ได้ ทั้งจะให้มีผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยก็ได้ และวิธีดำเนินการของคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ให้เป็นไปตามที่คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชกำหนด
ในมาตรา ๑๐ ทั้ง ๔ กรณี แต่เดิมกำหนดในวรรค ๕ ว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชในราชกิจจานุเบกษา แต่เมื่อตราพระราชกำหนดให้ยกเลิกความดังกล่าวแล้ว และในวรรคสุดท้ายแห่งพระราชกำหนดว่า “ให้นายกรัฐมนตรีนำกราบบังคมทูลฝ่าละอองธุลีพระบาท ในเมื่อมีการแต่งตั้งหรือเลือกผู้ปฏิบัติหน้าที่ หรือคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช” มิได้กำหนดให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่อย่างใด
จึงกล่าวได้ชัดเจนว่า การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงแต่งตั้งเองก็ดี การที่กรรมการที่เหลือเลือกสมเด็จพระราชาคณะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชก็ดี ยังคงใช้ได้อยู่ มิได้ยกเลิกใด ๆ และข้อกำหนดใหม่ตามพระราชกำหนดนี้ คงใช้ได้โดยสมบูรณ์เช่นกัน จึงเป็นใช้ได้ทั้งบทบัญญัติทั้ง ๔ กรณีและบทบัญญัติใหม่
๑๑. มาตรา ๑๑ บทบัญญัติเดิม กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ
(๑) มรณภาพ
(๒) พ้นจากความเป็นพระภิกษุ
(๓) ลาออก
(๔) ทรงพระกรุณาโปรดให้ออก
ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช ๒๔๘๔ มิได้กำหนดให้สมเด็จพระสังฆราชพ้นจากตำแหน่ง แต่ในฉบับนี้ ที่กำหนดไว้ชัดเจน คงเพราะสมเด็จพระสังฆราช ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม และทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ทั้งกำหนดให้บัญชาการคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย และกฎหมาย เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระพุทธศาสนา จึงบัญญัติไว้เพื่อให้สอดคล้องการทรงใช้อำนาจหน้าที่
Views: 16