ระเบียบการคณะสงฆ์
ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา
พุทธศักราช ๒๔๘๔[1]
———————
โดยที่เห็นสมควรจะปรับปรุงการศาสนศึกษาให้เจริญด้วยปริมาณและคุณภาพ และเหมาะสมแก่กาละเทศะ เพื่อเป็นผลดีแก่การจัดการศึกษาในส่วนพระศาสนายิ่งขึ้น
จึงให้ยกเลิกระเบียบบำรุงการศึกษาปริยัติธรรม พ.ศ.๒๔๘๑ และใช้ระเบียบใหม่นี้แทน ตั้งแต่วันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เป็นต้นไป
ลักษณะ ๑
ความทั่วไป
๑. ระเบียบนี้ให้เรียกว่า ระเบียบการคณะสงฆ์ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา พุทธศักราช ๒๔๘๔
๒. ในระเบียบนี้
คำว่า “การศาสนศึกษา” หมายถึงการศึกษาปริยัติธรรมและการศึกษาอื่น ๆ อันสมควรแก่สมณศึกษาด้วย
คำว่า “สำนักศาสนศึกษา” หมายถึงสำนักเรียนหรือโรงเรียนสอนปริยัติธรรมแต่เดิมมา
ลักษณะ ๒
ว่าด้วยงบประมาณและอัตราเงินบำรุงครู
๓. งบประมาณปกติสำหรับบำรุงการศาสนศึกษานั้น ให้กรมธรรมการตั้งจากเงินศาสนสมบัติกลาง กำหนดให้จ่ายบำรุงการศาสนศึกษาแก่สำนักศาสนศึกษาในคณะมหานิกายแขวงละ ๘๐ บาท คณะธรรมยุตติกนิกายแขวงละ ๒๐ บาท ต่อปี
๔. นอกจากงบประมาณปกติดังกล่าวมาในข้อ ๓ แล้ว ภาพในเงื่อนไขดังจะได้ระบุไว้ในลักษณะ ๔ ให้กรมธรรมการตั้งงบประมาณพิเศษอีกส่วนหนึ่ง จากเงินศาสนสมบัติกลางเช่นเดียวกัน กำหนดจ่ายบำรุงแก่สำนักศาสนศึกษาตัวอย่าง ประจำจังหวัดตาง ๆ เว้นจังหวัดพระนครและธนบุรี จังหวัดละ ๑ สำนัก เป็นเงินไม่เกิน ๒๐๐ บาท
๕. เงินบำรุงการศาสนศึกษาตามงบประมาณปกตินั้น ให้จ่ายเป็นนิตยภัตบำรุงครู เมื่อได้ปฏิบัติการจ่ายดังกล่าวแล้ว ถ้าเงินบำรุงยังมีเหลือ จะจ่ายเป็นค่ารับแถลงการณ์สงฆ์ อันควรมีไว้เป็นสมบัติของสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ หรือจะจ่ายเป็นค่าเครื่องอุปกรณ์การ ศาสนศึกษาก็ได้
๖. อัตรานิตยครูนั้น กำหนดให้ตั้งจ่ายโดยคำนึงตามปริมาณแลคุณภาพของงาน ดังนี้
(๑) ครูสอนธรรม ไม่เกินเดือนละ ๘ บาท
(๒) ครูสอนบาลี ไม่เกินเดือนละ ๑๐ บาท
๗. เงินบำรุงการศาสนศึกษาประจำแขวง หากมีเหลือจ่ายจะโอนไปบำรุงแขวง หากมีเหลือจ่ายจะโอนไปบำรุงแขวงอื่นภายในจังหวัดเดียวกัน โดยความเห็นชอบของที่ประชุมผู้อำนวยการสาสนศึกษาแห่งจังหวัดนั้นก็ได้
ลักษณะ ๓
ว่าด้วยการบำรุงการศาสนศึกษาและวิทยฐานะครู
๘. สำนักศาสนศึกษาที่ควรได้รับบำรุงตามระเบียบนี้ จะต้องมีจำนวนนักศึกษาอันแท้จริงไม่ต่ำกว่า ๒๐ เว้นแต่
(๑) สำนักศาสนศึกษาอันตั้งอยู่ตามท้องที่ชายพระราชอาณาจักร ติดต่อกับต่างประเทศ
(๒) สำนักศาสนศึกษาอันตั้งอยู่ตามท้องที่กันดาร การวินิจฉัยลักษณะแห่งท้องที่นี้ ให้ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัด
๙. การกำหนดจ่ายเงินบำรุงสำนักศาสนศึกษานั้น เพื่อความเป็นธรรม ให้ดำเนินตามมติของที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัด
๑๐.ในการพิจารณาตามความในข้อ ๙ ให้ที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัดคำนึงตามหลักเกณฑ์โดยตามลักษณะ ดังนี้
(๑) สำนักศาสนศึกษาที่ไม่มีทุนของวัด หรือนิธิสมบัติอื่นใดบำรุง
(๒) สำนักศาสนศึกษาที่มีนักศึกษาสอบความรู้ในสนามหลวงได้มาก
(๓) สำนักศาสนศึกษาที่มีนักศึกษาอันแท้จริงมากที่สุด
(๔) สำนักศาสนศึกษาที่ตั้งมาก่อน
๑๑. เฉพาะครูสอนปริยัติธรรม ต้อเป็นภิกษุหรือสามเณรเปรียญ และต้องมีวิทยฐานะกำหนดตามคุณภาพแห่งลักษณะวิชา ดังนี้
(๑) ครูสอนนักธรรมชั้นตรี อย่างต่ำต้องเป็นนักธรรมชั้นโทหรือเป็นนักธรรมชั้นตรี ซึ่งได้เคยเข้าสอบนักธรรมชั้นโทในสนามหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ
(๒) ครูสอนธรรมชั้นโท อย่างต่ำต้องเป็นนักธรรมชั้นเอกหรือเป็นนักธรรมชั้นโท ซึ่งเคยเข้าสอบนักธรรมชั้นเอกในสนามหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ
(๓) ครูสอนธรรมชั้นเอก อย่างต่ำต้องเป็นนักธรรมชั้นเอกมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ
(๔) ครูสอนบาลี ต้องเป็นเปรียญ
การจ่ายเงินบำรุงครู กำหนดให้จ่ายเฉพาะเดือนที่ทำการสอนเท่านั้น
ลักษณะ ๔
ว่าด้วยการบำรุงสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจังหวัด
๑๒. ภายในบังคับข้อ ๔ ให้สำนักศาสนศึกษาอันประกอบด้วยคุณลักษณะดังจะกล่าวในข้อ ๑๓ เป็นสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด ให้ได้รับบำรุงตามงบประมาณพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากจากงบประมาณสามัญ
๑๓. สำนักสาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดนั้น ให้มีได้แต่เพียงจังหวัดละ ๑ แห่ง คุณลักษณะสำคัญแห่งสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด ดังนี้
(๑) มีศึกษาสถานโดยเฉพาะและเป็นปึกแผ่น มีเครื่องอุปกรณ์พร้อม และได้สุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาลที่จะเป็นสำนักเรียน
(๒) มีการศึกษาธรรมและบาลี
(๓) มีจำนวนนักศึกษาทั้งธรรมและบาลีส่งเข้าสอบในสนามหลวงตั้งแต่ ๕๐ ขึ้นไป
(๔) ส่งนักศึกษาเข้าสอบ ความรู้บาลีในสนามหลวงทุกปีกำหนดปีหลังที่สุดเป็นปทัฏฐาน
(๕) จัดการศึกษาเป็นระเบียบเรียบร้อย
(๖) สามารถอำนวยการศึกษาส่วนอื่นอันควรแก่สมณศึกษา
(๗) สามารถส่งครูไปทำการสอนในสำนักศาสนศึกษาอื่น ๆ ภายในจังหวัดเดียวกันในเมื่อสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ ร้องขอ
๑๔. ให้เป็นหน้าที่ของคณะผู้อำนวยการสอนศาสนศึกษาแห่งจังหวัดนั้น ๆ จะพึงพิจารณาคัดเลือกสำนักศาสนศึกษาด้วยตัวอย่างประจำจังหวัด แล้วรายงานต่อไปเป็นลำดับจนถึงการกระทรวงธรรมการ เมื่อเห็นสมควร กระทรวงธรรมการจะได้กราบทูลรายงานถวายความเห็นต่อสมเด็จพระสังฆราช เพื่อทรงอนุมัติให้สำนักศาสนศึกษานั้น ๆ เป็นสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด
๑๕. สำนักศาสนศึกษาประจำจังหวัด จะควรได้รับบำรุงพิเศษในอัตราปีละเท่าใดภายในงบประมาณพิเศษนั้น ให้เป็นไปตามรายงานของกรมธรรมการ ซึ่งจะได้พิจารณาคำนึงตามปริมาณและคุณภาพของสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ แลตามปริมาณของงบประมาณ
๑๖. เงินบำรุงสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดนี้นอกจากจะจ่ายบำรุงครูแล้ว ผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ จะขอตั้งจ่ายเพื่อการอื่นอันเป็นประโยชน์แก่การศาสนศึกษาก็ได้ แต่ต้องได้รับอนุมัติตามระเบียบก่อน
ลักษณะ ๕
ว่าด้วยการอำนวยการศาสนศึกษา
๑๗. เพื่อควบคุมการดำเนินการศาสนศึกษาให้เป็นไปด้วยดีให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยการ ดังต่อไปนี้
(๑) ผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษา
(๒) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำแขวง
(๓) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด
(๔) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑล
๑๘. เว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นให้
(๑) เจ้าอาวาสเป็นผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษา
(๒) เจ้าคณะแขวงเป็นผู้อำนวยการสาศนศึกษาประจำแขวง
(๓) เจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด
(๔) เจ้าคณะมณฑลเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑล
๑๙. ภายในจังหวัดหนึ่ง ๆ ให้มีการประชุมอำนวยการศาสนศึกษาประจำแขวงไม่น้อยกว่าปีละ ๑ ครั้ง เพื่อพิจารณาปฏิบัติการให้เป็นไปตามระเบียบการศาสนศึกษานี้ เพื่อพิจารณาดำเนินการสถานใด ๆ อันจะเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งการศาสนศึกษาคณะในเขตจังหวัดก็แล้วแต่กรณี ให้ผู้อำนวยการศึกษาประจำจังหวัด เป็นประธานของที่ประชุม ก่อนมีการประชุมเช่นนี้ ให้ประธานแห่งที่ประชุมนัดหมายไปยังคณะกรมการจังหวัดขอให้ส่งธรรมการจังหวัดหรือผู้แทนเข้าร่วมประชุมในฐานเป็นผู้สังเกตการ และให้ความเห็นต่อที่ประชุม ผลแห่งการประชุมมีอย่างไร ให้ประธานแห่งที่ประชุมรายงานต่อเจ้าคณะผู้บังคับบัญชาผ่านทางคณะกรมการจังหวัด ในกรณีเช่นนี้ คณะกรมการจังหวัดอาจแสดงความเห็นประกอบรายงานนั้นก็ได้ แล้วเสนอเรื่องไปยังกระทรวงธรรมการเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
๒๐. หากมีเหตุอันสมควรและจำเป็น ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดจะจัดให้มีการประชุมผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษาทั่วทั้งจังหวัดก็ได้ โดยอนุโลมปฏิบัติการโดยนัยแห่งข้อ ๑๙
๒๑. ผู้อำนวยการศาสนศึกษา มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
(๑) จัดการศาสนศึกษาในสำนักให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
(๒) รายงานศาสนสถานะการศึกษาต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำแขวงทุกเดือนที่มีการเรียน
(๓) ภายหลังเมื่อทราบผลแห่งการสอบธรรมหรือบาลีสนามหลวงแล้ว ให้รายงานสรุปผลของการศึกษาและการสอบไล่ต่อผู้อำนวยการศึกษาประจำแขวง
(๔) รายงานขอบรรจุครูภายในเขตกำหนดเวลา และดูแลการเบิกจ่ายนิตยภัตบำรุงครูให้เป็นไปตามระเบียบ
(๕) จัดให้มีการศึกษาอย่างอื่นอันควรแก่สมณศึกษา
๒๒. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำแขวงมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
(๑) เป็นผู้ควบคุมอำนวยการศาสนศึกษาภายในแขวงของตนให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย
(๒) พิจารณาเลือกสรรสำนักเรียน และครูที่ควรได้รับบำรุงแล้วเสนอต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด เพื่อนำเข้าพิจารณาหารือในที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัดนั้น ๆ ภายในกำหนดเวลา
(๓) รายงานสถานะศึกษาของสำนักศาสนศึกษาในแขวงของตน ต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำศาสนศึกษาประจำจังหวัดทุกเดือน
(๔) รวบรวมรายงานผลแห่งการสอบไล่ธรรมและบาลีสนามหลวง เสนอต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด
(๕) เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวกแก่สำนักศาสนศึกษาในเขตแขวงของตน
๒๓. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้
(๑) เป็นประธานในที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัด
(๒) ควบคุมอำนวยการศาสนศึกษาภายในจังหวัดให้ดำเนินไปโดยความเรียบร้อย
(๓) เสนอบัญชีตั้งครูสอนปริยัติธรรม ตามมติของที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัด ต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑลภายในกำหนดเวลา
(๔) รายงานสถานะศึกษาของสำนักศาสนศึกษาภายใน จังหวัดของตนต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑลทุกเดือน
(๕) เสนอรายงานผลแห่งการ สอบไล่ธรรมบาลี ภายในจังหวัด ต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑล
(๖) เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการบริหารงานศาสนศึกษาแก่ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังแขวง
๒๔. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำมณฑลมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(๑) ตรวจการศาสนศึกษาในมณฑลให้ดำเนินไปด้วยดี
(๒) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวกับการตั้งครูหรือการจ่ายเงินเพื่อการอื่นตามระเบียบนี้ แล้วแจ้งให้กรมธรรมการทราบภายในพรรษา
(๓) ประมวลรายงานผลแห่งการศึกษาให้กรมธรรมการทราบทุกปี ตามปกติให้รายงานภายหลังเมื่อได้ทราบผลแห่งการสอบธรรมและบาลีสนามหลวงแล้ว
(๔) เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวกแก่ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดนั้น ๆ
๒๕. สำหรับจังหวัดพระนครและธนบุรี ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำแขวงปฏิบัติการนี้ติดต่อกับกรมธรรมการโดยตรง
๒๖. ให้กรมธรรมการรักษาให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และเพื่อความเรียบร้อย ให้มีอำนาจกำหนดแบบบัญชีหรือวิธีปฏิบัติใด ๆ อันจะช่วยให้เป็นที่สะดวกแก่การปฏิบัติการตามระเบียบนี้ก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาตามท้องที่นั้น ๆ ช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ผู้ไปตรวจการตามสมควร.
ระเบียบนี้ตราไว้ ณ วันที่ ๖ เดือน มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๘๔
(ลงพระนาม) สมเด็จพระสังฆราช
[1] ประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๒๙ ภาค ๑ : เมษายน ๒๔๘๔