ระเบียบองค์การศึกษา ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา พุทธศักราช ๒๔๙๑

ระเบียบองค์การศึกษา

ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา พุทธศักราช ๒๔๙๑[1]

——————–

        โดยที่เห็นสมควรจะปรับปรุงการศาสนศึกษาให้เจริญด้วยปริมาณและคุณภาพ และ

เหมาะสมกับกาลเทศะ เพื่อเป็นผลดีและเรียบร้อยในการจัดการศึกษาในส่วนพระศาสนายิ่งขึ้น

        จึงให้ยกเลิกระเบียบการคณะสงฆ์ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา พ.ศ.๒๔๘๔ และระเบียบแก้ไขเพิ่มเติมอื่น ๆ ที่เนื่องด้วยการจัดศาสนศึกษา และให้ใช้ระเบียบใหม่นี้แทน ตั้งแต่วันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป

ลักษณะ ๑
ความทั่วไป

        ๑. ระเบียบนี้ให้เรียกว่า “ระเบียบองค์การศึกษา ว่าด้วยการจัดศาสนศึกษา พุทธศักราช ๒๔๙๑”

        ๒. ในระเบียบนี้

        คำว่า “การศาสนศึกษา” หมายถึงการศึกษาปริยัติธรรม และการศึกษาอื่นๆ อันควรแก่สมณศึกษา

        คำว่า “สำนักศาสนศึกษา” หมายถึงสำนักเรียนหรือโรงเรียนสอนปริยัติธรรม

ลักษณะ ๒
ว่าด้วยสำนักศาสนศึกษาและการเปิด ปิดภาคเรียน

        ๓. สำนักศาสนศึกษาแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ

             (๑) สำนักศาสนศึกษาสามัญ

             (๒) สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด

        ๔. สำนักศาสนศึกษาสามัญ ได้แก่ สำนักศาสนศึกษาทั่วไป อันผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำท้องที่นั้น ๆ พิจารณาเห็นสมควรแล้วจัดตั้งขึ้น

        ๕. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด ได้แก่ สำนักศาสนศึกษาพิเศษ อันคณะกรรมการสงฆ์จังหวัดนั้น ๆ ประชุมพิจารณาเลือกสรรแล้วขออนุมัติจัดตั้ง

        ๖. การเปิด ปิดภาคการเรียนปกติ ให้แบ่งเป็น ๓ ภาค เรียกว่า ภาควิสาขะ ภาคพรรษา และภาคปวารณา โดยกำหนดเวลาดังนี้

             (๑) นักธรรม

                  ก. ภาควิสาขะ เริ่มแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ จนถึงขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘

                  ข. ภาคพรรษา เริ่มแต่แรม ๙ ค่ำเดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑

                  ค. ภาคปวารณา เริ่มแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ จนถึงขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนอ้าย

             (๒) บาลี

                  ก. ภาควิสาขะ เริ่มแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ จนถึงขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘

                  ข. ภาคพรรษา เริ่มแต่แรม ๙ ค่ำเดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑

                  ค. ภาคปวารณา เริ่มแต่ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ จนถึงแรม ๑๓ ค่ำ เดือนยี่

        ๗. การปิดการเรียนประจำ ให้ปิดวันโกนกับวันพระ ๒ วัน

        ๘. นอกจากนี้ เมื่อเห็นเป็นการสมควร ผู้อำนวยการศาสนศึกษานั้นๆ แล้วแต่กรณีจะพิจารณากำหนดการเปิด ปิดให้เหมาะสมกับท้องที่นั้น ๆ หรือเหตุการณ์อันสมควรก็ได้

ลักษณะ ๓
ว่าด้วยงบประมาณและอัตราเงินบำรุงครู

        ๙. งบประมาณปกติสำหรับบำรุงการศาสนศึกษานั้น ให้กรมการศาสนาตั้งจากเงินศา-สนสมบัติกลาง หรือกำหนดให้จ่ายบำรุงการศาสนศึกษาแก่สำนักศึกษาในคณะมหานิกายอำเภอละ ๙๐ บาท คณะธรรมยุตติกนิกายอำเภอละ ๓๐ บาทต่อปี

        ๑๐. นอกจากงบประมาณปกติดังกล่าวมาในข้อ ๙ แล้ว ภายในเงื่อนไขดังจะได้ระบุไว้ในลักษณะ ๕ ให้กรมการศาสนาตั้งงบประมาณพิเศษอีกส่วนหนึ่ง จากเงินศาสนสมบัติกลางเช่นเดียวกัน กำหนดจ่ายบำรงแก่สำนักศาสนศึกาตัวอย่างประจำจังหวัดต่าง ๆ เว้นจังหวัดพระนครและธนบุรี จังหวัดละ ๑ สำนัก เป็นเงินไม่เกิน ๒๐๐ บาท

        ๑๑. เงินบำรุงการศาสนศึกษาตามงบประมาณปกตินั้น ให้จ่ายเป็นนิตยภัตต์บำรุงครู เมื่อได้ปฏิบัติการจ่ายดังกล่าวแล้ว ถ้าเงินบำรุงยังมีเหลือ จะจ่ายเป็นค่ารับแถลงการณ์คณะสงฆ์อันควรมีไว้เป็นสมบัติของสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ หรือจะจ่ายเป้นค่าเครื่องอุปกรณ์การศาสนศึกษาก็ได้

        ๑๒. อัตรานิตยภัตต์ครูนั้น กำหนดให้จ่ายโดยคำนึงตามปริมาณและคุณภาพของงานดังนี้

             (๑) ครูสอนธรรม ไม่เกินเดือนละ ๗ บาท

             (๒) ครูสอนบาลี ไม่เกินเดือนละ ๑๐ บาท

        ๑๓. เงินบำรุงการศาสนศึกษาประจำอำเภอ หากมีเหลือจ่ายจะโอนไปบำรุงอำเภออื่นภายในจังหวัดเดียวกัน โดยความเห็นชอบของที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์แห่งจังหวัดนั้นก็ได้

ลักษณะ ๔
ว่าด้วยการบำรุงการศึกษาและวิทยฐานะครู

        ๑๔. สำนักศาสนศึกษาที่ควรใด้รับบำรุงตามลักษณะนี้ ได้แก่สำนักศาสนศึกษาสามัญ ที่มีจำนวนนักศึกษาอันแท้จริง นักเรียนธรรมต้องไม่ต่ำกว่า ๒๐ รูป นักเรียนบาลี ๑๐ รูป ก็ใช้ได้ เว้นแต่

             (๑) สำนักศาสนศึกษาอันตั้งอยู่ตามท้องที่ชายพระราชอาณาจักร ติดต่กับต่างประเทศ

             (๒) สำนักศาสนศึกษาอันตั้งอยู่ตามท้องที่กันดาร การวินิจฉัยลักษณะแห่งท้องที่นี้ ให้ปฏิบัติตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด

        ๑๕. การกำหนดจ่ายเงินบำรุงสำนักศาสนศึกษานั้น เพื่อความเป็นธรรม ให้ดำเนินการตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด

        ๑๖. ในการพิจารณาตามความในข้อ ๑๕ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์จังหวัด คำนึงตามหลักเกณฑ์โดยลำดับลักษณะ ดังนี้

             (๑) สำนักศาสนศึกษาที่ไม่มีทุนของวัด หรือนิธิสมบัติอื่นใดบำรุง

             (๒) สำนักศาสนศึกษาที่มีนักศึกษาสอบความรู้ในสนามหลวงได้มาก

             (๓) สำนักศาสนศึกษาที่มีนักศึกษาอันแท้จริงมากที่สุด

             (๔) สำนักศาสนศึกษาที่ตั้งมาก่อน

        ๑๗. เฉพาะครูสอนปริยัติธรรม ต้องเป็นภิกษุหรือสามเณรเปรียญ และต้องมีวิทยฐานะ กำหนดตามคุณภาพแห่งลักษณะวิชา ดังนี้

             (๑) ครูสอนธรรมชั้นตรี อย่างต่ำต้องเป็นนักธรรมชั้นโท หรือเป็นนักธรรมชั้นตรี ซึ่งได้เคยสอบนักธรรมชั้นโทในสนามหลวงมาแล้วไม่ต่ำกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ

             (๒) ครูสอนธรรมชั้นโท อย่างต่ำต้องเป็นธรรมชั้นเอก หรือเป็นนักธรรมชั้นโท ซึ่งได้เคยเข้าสอบนักธรรมชั้นเอกในสนามหลวงมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ

             (๓) ครูสอนธรรมชั้นเอก อยางต่ำต้องเป็นนักธรรมชั้นเอกมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือเป็นเปรียญ

             (๔) ครูสอนบาลี ต้องเป็นเปรียญ

             (๕) ในท้องถิ่นที่กันดาร เมื่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาแล้วแต่กรณี เห็นเป็นการสมควรและจำเป็น จะขออนุมัติบรรจุครูสอนธรรมทุกชั้นที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชั้นที่ตนสอนเป็นครูก็ได้

             (๖) ครูสอนธรรมทุกชั้น ที่มีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชั้นที่ตนสอนและได้เคยทำการสอนประจำชั้นนั้น ๆ มาแล้วก่อนใช้ระเบียบนี้ เมื่อเห็นสมควร ผู้อำนวยการศาสนศึกษาแล้วแต่กรณีจะขออนุมัติให้คงทำการสอนในชั้นนั้นๆ สืบไปก็ได้ แต่ต้องระบุไว้ในรายงานขอบรรจุให้ชัดแจ้ง

        การจ่ายเงินบำรุงครู กำหนดให้จ่ายเฉพาะเดือนที่ทำการสอน

ลักษณะ ๕
ว่าด้วยสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดและการบำรุง

        ๑๘. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดนั้น แบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก แต่ให้มีได้เพียงจังหวัดละ ๑ สำนัก จะเป็นชั้นใดชั้นหนึ่งก็ได้

        ๑๙. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดทุกชั้น ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญทั่วไป ดังนี้

             (๑) มีสถานที่ศึกษาโดยเฉพาะและเป็นปึกแผ่น มีเครื่องอุปกรณ์พร้อม และได้สุขลักษณะตามหลักสุขาภิบาลที่จะเป็นสำนักเรียน

             (๒) มีการศึกษาทั้งธรรมและบาลี

             (๓) ส่งนักศึกษาเข้าสอบความรู้ทั้งธรรมและบาลีในสนามหลวงทุกปี กำหนดปีหลังสุดเป็นปทัฎฐาน

             (๔) จัดการศึกษาเป็นระเบียบเรียบร้อย

             (๕) สามารถอำนวยการศึกษาส่วนอื่นอันควรแก่สมณศึกษา

             (๖) สามารถส่งครูไปทำการสอนในสำนักศาสนศึกษาอื่น ๆ ภายในจังหวัดเดียวกัน ในเมื่อสำนักศาสนศึกษานั้น ๆ ร้องขอ

        ๒๐. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดชั้นตรี ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะโดยเฉพาะ ดังนี้

             (๑) ส่งนักศึกษาธรรมเข้าสอบในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๒๑ ขึ้นไป

             (๒) ส่งนักศึกษาบาลีเข้าสอบในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป

             (๓) มีนักศึกษาธรรมสอบได้ในสนามหลวงปีหนึ่งตั้ง ๑๐ ขึ้นไป

             (๔) มีนักศึกษาบาลีสอบได้ในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๕ ขึ้นไป

             (๕) ได้จัดตั้งเป็นสำนักศาสนศึกษาสามัญมาแล้ว ไม่น้อยกว่า ๓ ปี

        ๒๑. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดชั้นโท ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะโดยเฉพาะ ดังนี้

             (๑) ส่งนักศึกษาธรรมเข้าสอบในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๔๐ ขึ้นไป

             (๒) ส่งนักศึกษาบาลีเข้าสอบในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๒๐ ขึ้นไป

             (๓) มีนักศึกษาธรรมสอบได้ในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๒๐ ขึ้นไป

             (๔) มีนักศึกษาบาลีสอบได้ในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๑๐ ขึ้นไป

             (๕) ได้จัดตั้งเป็นสำนักศาสนศึกษาสามัญมาแล้ว ไม่น้อยกว่า ๕ ปี หรือเป็นสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างชั้นตรีมาก่อน

        ๒๒. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดชั้นเอก ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะโดยเฉพาะ ดังนี้

             (๑) ส่งนักศึกษาทั้งธรรม และบาลีเข้าสอบในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๑๐๐ ขึ้นไป เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย ๓ ปี

             (๒) มีนักศึกษาทั้งธรรมละบาลีสอบได้ในสนามหลวงปีหนึ่งตั้งแต่ ๕๐ ขึ้นไป เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย ๒ ปี

             (๓) ได้จัดตั้งเป็นสำคัญศาสนศึกษาสามัญมาแล้วไม่น้อยกว่า ๘ ปี หรือเป็นสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างชั้นโทมาก่อน

        ๒๓. ให้เป็นหน้าของคณะกรรมการสงฆ์จังหวัดนั้น ๆ จะพึงพิจารณาคัดเลือกสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด แล้วรายงานต่อไปเป็นลำดับจนถึงองค์การศึกษา โดยผ่านทางศึกษาธิการจังหวัดถึงกรมการศาสนา ๆ จะได้รายงานความเห็นต่อสังฆมตรีว่าการองค์การศึกษา เพื่ออนุมัติให้เป็นสำนักศาสนศึกษา ตัวอย่างประจำจังหวัด

        ๒๔. สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัด ให้ได้รับบำรุงตามงบประมาณพิเศษส่วนหนึ่งต่างหากจากงบประมาณสามัญ ตามความในบังคับแห่งข้อ ๑๐ โดยแบ่งประเภท ดังนี้

             (๑) สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างชั้นตรี   ในอัตราปีละ ๑๐๐ บาท

             (๒) สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างชั้นโท   ในอัตราปีละ ๑๕๐ บาท

             (๓) สำนักศาสนศึกษาตัวอย่างชั้นเอก  ในอัตราปีละ ๒๐๐ บาท

       ๒๕. เงินบำรุงสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างประจำจังหวัดนี้ นอกจากจะจ่ายบำรุงครูแล้ว ผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งสำนักศาสนศึกษาตัวอย่างนั้น ๆ จะขอตั้งจ่ายเพื่อการอื่นอันเป็นประโยชน์แก่การศึกษาก็ได้ แต่ต้องให้เป็นไปตามความเห็นชอบของคณะกรรมการสงฆ์จังหวัดก่อน.

ลักษณะ ๖
ว่าด้วยผู้อำนวยการศาสนศึกษา

        ๒๖. เพื่อควบคุมการดำเนินการศาสนศึกษาให้เป็นไปด้วยดี ให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยการดำเนินงาน ดังต่อไปนี้

             (๑) ผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษา

             (๒) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ

             (๓) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด

             (๔) ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค

        ๒๗. เว้นแต่จะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นให้

             (๑) เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะตำบลเป็นผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษา

             (๒) คณะกรรมการสงฆ์อำเภอเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ

             (๓) คณะกรรมการสงฆ์จังหวัดเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด

             (๔) เจ้าคณะตรวจการภาคเป็นผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค

        ๒๘. ภายในจังหวัดหนึ่ง ๆ ให้มีการประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอไม่น้อยกว่าปีละ  ๑ ครั้ง หรือมากกว่า เพื่อพิจารณาปฏิบัติการให้เป็นไปตามระเบียบการศาสนศึกษานี้ หรือพิจารณาดำเนินการสถานใด ๆ อันจะเป็นไปเพื่อความเจริญแห่งการศาสนศึกษาภายในเขตจังหวัดแล้วแต่กรณี ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดเป็นประธานของที่ประชุม ก่อนมีการประชุมเช่นนี้ ให้ประธานแห่งที่ประชุมนัดหมายไปยังคณะกรรมการจังหวัด ขอให้ส่งศึกษาธิการจังหวัดหรือผู้แทนเข้าร่วมประชุมในฐานะสังเกตการณ์และให้ความเห็นต่อที่ประชุม ผลแห่งการประชุมมีอย่างไร ให้ประธานแห่งที่ประชุมรายงานต่อไปตามลำดับจนถึงองค์การศึกษาผ่านทางคณะกรรมการจังหวัด ในกรณีเช่นนี้คณะกรรมการจังหวัดอาจแสดงความเห็นประกอบรายงานนั้นก็ได้ แล้วเสนอเรื่องไปยังกรมการศาสนาเพื่อพิจารณาในการต่อไป.

        ๒๙. หากมีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดจะจัดให้มีการประชุมผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษาทั่วทั้งจังหวัดก็ได้ โดยอนุโลมปฏิบัติการตามนัยแห่งข้อ ๒๘

        ๓๐. เมื่อเห็นเป็นการสมควร ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดจัดอบรบผู้อำนวยการศาสนศึกษา หรือครูสอนปริยัติธรรมภายในจังหวัดของตน เพื่อให้เข้าใจวิธีปฏิบัติการตามระเบียบนี้หรือข้ออันควรรู้ อย่างอื่นแล้วแต่กรณี และเพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการสอนอันถูกต้องตามหลัก เพื่อความเจริญแห่งการศาสนศึกษาต่อไป

ลักษณะ ๗
ว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของผู้อำนวยการศาสนศึกษา

        ๓๑. ผู้อำนวยการสำนักศาสนศึกษา มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้

             (๑) จัดการสำนักศาสนศึกษาในสำนักให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

             (๒) รายงานสถานะการศึกษาต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอไม่น้อยกว่าปีละ ๒ ครั้ง

             (๓) ภายหลังเมื่อทราบผลแห่งการสอบธรรมและบาลีสนามหลวงแล้ว ให้รายงานสรุปผลของการศึกษาและการสอบไล่ต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ

             (๔) รายงานขอบรรจุครูถึงผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอให้เสร็จก่อนวันเข้าพรรษา

             (๕) จัดให้มีการศึกษาอย่างอื่นอันควรแก่สมณศึกษา

        ๓๒. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้

             (๑) เป็นผู้ควบคุมอำนวยการศาสนศึกษาภายในเขตอำเภอของตนให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย

             (๒) พิจารณาเลือกสรรสำนักเรียน และครูที่ควรได้บำรุงแล้วเสนอต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด เพื่อนำเข้าพิจารณาหรือในที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์จังหวัดนั้น ๆ ภานในเดือนต้นแห่งพรรษา

             (๓) รายงานสถานะการศึกษาของสำนักศาสนศึกษาในอำเภอของตนต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดไม่น้อยกว่าปีละ ๒ ครั้ง

             (๔) รวบรวมรายงานผลแห่งการสอบไล่ธรรมและบาลีสนามหลวงเสนอต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด

             (๕) เป็นที่ปรึษาและอำนวยความสะดวกแก่สำนักศาสนศึกษาในเขตของตน

        ๓๓. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัด มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้

             (๑) เป็นประธานในที่ประชุมผู้อำนวยการศาสนศึกษาแห่งจังหวัด

             (๒) ควบคุมอำนวยการศาสนศึกษาภายในจังหวัดให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย

             (๓) เสนอบัญชีตั้งครูสอนปริยัติธรรมตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการสงฆ์จังหวัดต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค ภายในเดือนที่ ๒ แห่งพรรษา

             (๔) รายงานสถานะการศึกษาของสำนักศาสนศึกษาภายในเขตจังหวัดของตนต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค

             (๕) เสนอรายงานผลแห่งการสอบไล่ธรรมและบาลีภายในจังหวัดต่อผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค

             (๖) เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวก ในการบริหารงานศาสนศึกษาแก่ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ

             (๗) ทำการอบรมผู้อำนวยการศาสนศึกษาและครูสอนปริยัติธรรม ภายในจังหวัดของตน

        ๓๔. ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำภาค มีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้

             (๑) ตรวจการศาสนศึกษาในภาคให้ดำเนินไปด้วยดี

             (๒) พิจารณาให้ความเห็นเกี่ยวแก่การตั้งครูหรือการจ่ายเงินเพื่อการอื่นตามระเบียบนี้ แล้วแจ้งให้กรมการศาสนาทราบภายในพรรษา

             (๓) ประมวลรายงานผล แห่งการศึกษาให้กรมการศาสนาทราบทุกปี ตามปกติให้รายงานภายหลังเมื่อได้ทราบผลแห่งการสอบธรรมและบาลีสนามหลวงแล้ว เพื่อกรมการศาสนานำเสนอองค์การศึกษาต่อไป

             (๔) เป็นที่ปรึกษาและอำนวยความสะดวกแก่ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำจังหวัดนั้น ๆ

        ๓๕. สำหรับจังหวัดพระนครและธนบุรี ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาประจำอำเภอ ปฏิบัติการนี้ติดต่อกับกรมการศาสนาโดยตรง

        ๓๖. ให้กรมการศาสนารักษาการให้เป็นไปตามระเบียบนี้ และเพื่อความเรียบร้อยให้มีอำนาจกำหนดแบบบัญชีหรือวิธีปฎิบัติใด ๆ อันจะช่วยให้เป็นความสะดวก แก่การปฎิบัติการตามระเบียบนี้ก็ได้ โดยอนุมัติแห่งองค์การศึกษา

        ๓๗. เมื่อเห็นสมควร องค์การศึกษาหรือกรมการศาสนาจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตภาวะการศาสนศึกษาในจังหวัดต่าง ๆ ก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้ผู้อำนวยการศาสนศึกษาตามท้องที่นั้น ๆ ช่วยเหลือให้ความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ผู้ไปตรวจการตามสมควร.

        ระเบียบนี้  ตราไว้ ณ วันที่  ๑๕  มิถุนายน  ๒๔๙๑

(ลงนาม) สมเด็จพระวันรัต

สังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษา


[1] ลงในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๓๖   ภาค ๔  เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม พ.ศ.  ๒๔๙๑