ส่วนที่ ๔ ความแตกต่าง แห่งองค์กรปกครองคณะสงฆ์

ส่วนที่ ๔

ความแตกต่าง

แห่งองค์กรปกครองคณะสงฆ์

—————————

  องค์กรปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๓ แบบดังกล่าวมา ย่อมมีความแตกต่างกันทั้งรูปแบบและอำนาจหน้าที่  ทั้งนี้ เพราะเจตนารมณ์ของการตรากฎหมายเป็นหลัก

        องค์กรแบบที่   ๑   มีลักษณะเหมือนแบบการปกครองราชอาณาจักรในระบอบราชาธิปไตยและเป็นแบบอย่างในการจัดองค์กรคราวต่อไป การปฏิบัติงานขององค์กรเป็นไปได้โดยความสะดวก  เพราะเป็นแบบถืออำนาจเป็นใหญ่  การทุกอย่างอยู่ที่ผู้บัญชาการคณะสงฆ์เป็นสำคัญ เช่น การแต่งตั้งเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะมณฑล ในบางครั้งเป็นไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจมากเกินไป จนเป็นเหตุให้มีคณะปฏิสังขรณ์พระพุทธ-ศาสนา เกิดขึ้นในปี  ๒๔๗๕  อันเป็นมูลเหตุหนึ่งที่ให้มีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์  พุทธศักราช  ๒๔๘๔

      องค์กรแบบที่  ๒   มีลักษณะเหมือนแบบการปกครองราชอาณาจักรในระบอบประชาธิปไตย  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  คือการบริหารการคณะสงฆ์โดยคณะสังฆมนตรี  มีสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประมุข  แยกอำนาจบัญญัติสังฆาณัติ  อำนาจบริหารและอำนาจวินิจฉัยอธิกรณ์ออกจากกัน  สมเด็จพระสังฆราชทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางสังฆสภา ทางคณะสังฆมนตรี และทางคณะวินัยธร เจตนารมณ์ของการตรากฎหมายเพื่อให้เกิดความถ่วงดุลแห่งอำนาจ  เพื่อให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยและเพื่อรวมสงฆ์  ๒  คณะเข้าเป็นคณะเดียวกัน  แต่ในทางปฏิบัติ  เกิดความขัดแย้งในสังฆมณฑลนานัปปการ  การปฏิบัติต้องตามเจตนารมณ์เพียงความถ่วงดุลแห่งอำนาจเท่านั้น  ส่วนการสังคายนาพระธรรมวินัยและการรวมสงฆ์เข้าเป็นคณะเดียวกันล้มเหลว   จนเป็นเหตุให้มีการตราพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ ขึ้นบังคับใช้แทน

        องค์กรแบบที่ ๓ มีลักษณะยึดแบบที่ ๑ เป็นหลักใหญ่และใช้แบบที่  ๒  ผสมผสานจัดว่าอยู่ในสายกลาง  โดยยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก  องค์กรที่จัดตามแบบนี้ใช้นานจนปัจจุบัน  ดังนั้น  ในส่วนต่อไปจะกล่าวถึงเฉพาะองค์กรแบบที่  ๓  เท่านั้น

Views: 41