ข้อสัญญัติ
ในการตั้งทุนสงเคราะห์แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษา[1]
————-
อาศัยข้อความตามประกาศมหาเถรสมาคม เรื่องการตั้งทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษา ที่ได้ประกาศไว้ ณ วันที่ ๑ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ตอนที่แจ้งไว้ว่าการดำเนินงานเรื่องการตั้งทุนนั้น ให้เป็นไปตามข้อสัญญัติท้ายประกาศ จึงให้ข้อสัญญัติในเรื่องการตั้งทุนไว้ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ การตั้งทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษา ให้เป็นไปตามกุศลเจตนาของวัดทั้งหลายที่มีกำลังและสามารถจะจัดจะทำได้ มิให้มีการบังคับด้วยประการใด ๆ
ข้อ ๒ ห้ามมิให้นำเงินการกุศล หรือเงินผลประโยชน์ หรือเงินอื่นใดของวัดมาจัดตั้งทุนเพื่อการนี้
ข้อ ๓ ห้ามมิให้วัดกู้ยืมเงินมาจัดตั้งเป็นทุน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งทุนชั่วคราวหรือการตั้งทุนถาวร
ข้อ ๔ การจัดตั้งทุนภาคสามัญสำหรับสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษา แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท แต่ละประเภทมีจำนวนเงินตั้งทุนสูงต่ำกว่ากันตามลำดับ คือ
ประเภท ก เงินทุนไม่ต่ำกว่า จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท
ประเภท ข ” ” ๑๒,๐๐๐ บาท
ประเภท ค ” ” ๙,๐๐๐ บาท
ประเภท ง ” ” ๖,๐๐๐ บาท
ประเภท จ ” ” ๓,๐๐๐ บาท
จำนวนเงินทุนแต่ละประเภท ให้เลื่อนจากประเภทต่ำขึ้นเป็นทุนประเภทสูงได้ตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้แต่ละประเภท
ข้อ ๕ วัดใดมีกุศสจิตจะตั้งทุนประเภทใดประเภทหนึ่ง ในจำนวน ๕ ประเภท ห้ามมิให้ทำการเรี่ยไรจากบุคคลภายนอก เว้นแต่การบอกบุญแก่ทายก ทายิกาแห่งวัดนั้น หรือแก่บุคลที่ตนรู้จักมักคุ้นและมีศรัทธา
ข้อ ๖ การรับเงินบริจาคเพื่อต้นทุนทุกประเภท ต้องมีหลักฐานการรับหากมีการบริจาคเฉพาะราย หรือเฉพาะบุคคล ต้องมีใบอนุโมทนามอบให้แก่ผู้บริจาคด้วย
ข้อ ๗ เงินทุนที่ผู้บริจาค ทางวัดจะเก็บรักษาไว้ใด้ไม่เกิน ๕๐๐.-บาท หากเกิน ๕๐๐.- บาท มิให้วัดเก็บรักษาไว้
ข้อ ๘ เงินทุนทุกประเภท เมื่อเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในข้อ ๗ แล้วให้ทางวัดนำฝากธนาคารออมสิน หรือธนาคารพาณิชย์ ในนามของทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาวัด…………………………….และให้ฝากเป็นประเภทรายปี ในเมื่อมีเงินทุนครบจำนวนแต่ละประเภทแล้วเพื่อนำผลประโยชน์มาสงเคราะห์นักเรียนตามวัดถุประสงค์ต่อไป
ข้อ ๙ ในการนำเงินทุนฝากธนาคาร หากต้องการนำฝากเป็นคราว ๆ จะฝากในรูปแบบใดก็ตามซึ่งมิใช่ประเภทรายปี เมื่อมีจำนวนเงินครบตามประเภททุนที่กำหนดไว้แล้ว ให้ถอนเงินที่ฝากไว้แต่ละคราวมารวมตั้งต้นฝากใหม่ เป็นวันเดียวกัน ประเภทรายปี เพื่อนำผลประโยชน์มาใช้เป็นกลุ่มก้อนได้พร้อมกัน
ข้อ ๑๐ ห้ามมิให้ใช้จ่ายทุนทุกประเภท ไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ ให้ใช้จ่ายได้เฉพาะผลประโยชน์ที่เกิดจากทุนตามวัตถุประสงค์เท่านั้น เว้นแต่วัดใดที่เริ่มจัดตั้งทุนภายในกำหนดแล้ว แต่ไม่สามารถหาทุนเพิ่มเติมให้ครบจำนวนได้ตามประเภทที่เริ่มตั้งไว้ ภายในปี พ.ศ.๒๕๒๘ ให้จ่ายทุนนั้นสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาทั้งหมด จะเป็นจำนวนคนละเท่าใดสุดแต่คณะกรรมการบริหารทุน ฯ ของวัดนั้นจะพิจารณาตามที่เห็นสมควรโดยแจ้งให้ทายก ทายิกาแห่งวัดนั้นทราบก่อน
ข้อ ๑๑ การนำจ่ายเงินผลประโยชน์แต่ละประเภทเพื่อสงเคราะห์นักเรียนให้มอบแก่นักเรียนในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในวัดนั้น เว้นแต่ในวัดนั้นไม่มีโรงเรียนตั้งอยู่ ให้มอบให้แก่นักเรียนในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในที่ใกล้วัด หากโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในที่ใกล้วัดไม่มี ให้มอบแก่นักเรียนในโรงเรียนอื่น ตามที่วัดอื่นหรือตามที่โรงเรียนอื่นขอทุนสงเคราะห์มา ทั้งนี้ สุดแต่คณะกรรมการบริหารทุน ฯ จะพิจารณาเห็นสมควรว่าจะจ่ายให้แก่นักเรียนในโรงเรียนใด
ข้อ ๑๒ การมอบเงินผลประโยชน์ให้แก่นักเรียน กำหนดปีละครั้งให้มอบแก่นักเรียนคนละไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ บาท และไม่เกิน ๕๐๐ บาท และนักเรียนที่จะได้รับมอบจะต้องเป็นนักเรียนที่มีคุณสมบัติ คือ เรียนดีมีความประพฤติดีเป็นอย่างน้อย และขาดทุนทรัพย์ โดยขอให้ทางโรงเรียนพิจารณาคัดเลือกนักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับสงเคราะห์ เสนอมายังคณะกรรมการบริหารทุน ฯ เพื่อพิจารณา
นักเรียนที่ได้รับทุนปีหนึ่งแล้ว มีสิทธิที่จะได้รับทุนในปีต่อไปได้อีก หากยังไม่ขาดคุณสมบัติดังกล่าวในวรรดต้น
ข้อ ๑๓ ให้มีกรรมการคณะหนึ่ง เรียกชื่อว่า คณะกรรมการทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษา วัด…………………..เรียกชื่อย่อว่า คณธกรรมการบริหารทุน ฯ วัด………………………มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามข้อสัญญัตินี้
ข้อ ๑๔ คณะกรรมการดังกล่าวในข้อ ๑๓ มีจำนวนไม่ต่ำกว่า ๕ ท่านและไม่เกิน ๗ ท่าน มีเจ้าอาวาสแห่งวัดนั้นเป็นประธานโดยตำแหน่ง ส่วนกรรมการนอกนั้นให้เจ้าอาวาสพิจารณาคัดเลือกพระภิกษุในวัดนั้น และทายกทายิกาแห่งวัดนั้นนเข้าร่วมเป็นกรรมการ กรรมการที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วม มีวาระอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี เมื่อพ้นวาระแล้วอาจได้รับพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมเป็นกรรมการอีกได้
อนึ่ง ให้มีกรรมการผู้หนึ่งในจำนวนกรรมการทั้งหมดเป็นเลขานุการ ของคณะกรรมการตามข้อเสนอของประธานกรรมการและเลขานุการเป็นผู้นั้นมีหน้าที่นัดประชุมกรรมการ ทำรายงานการประชุม และติดต่อประสานงานกับบุคคลภายนอกตามคำสั่งของประธานหรือของคณะกรรมการ
ข้อ ๑๕ การประชุมคณะกรรมการทุกคราว ต้องมีกรรมการมาประชุมไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ จึงเป็นองค์ประชุมได้
ข้อ ๑๖ มติของที่ประชุมคณธกรรมการ ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้ามีเสียงจำนวนเท่ากัน ให้ประธานในที่ประขุมเป็นผู้ชี้ขาด หรื่อจะให้ระงับเรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๗
(สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
[1] ลงในแถลงการณ์คณะสงฆ์ เล่ม ๗๓ ตอนที่ ๑ : ๒๕ มกราคม ๒๕๒๘