ส่วนที่ ๕ จริยาพระสังฆาธิการ

ส่วนที่ ๕

จริยาพระสังฆาธิการ

————-

        จริยาพระสังฆาธิการ   หมายถึงข้อที่พระสังฆาธิการต้องปฏิบัติตาม  บัญญัติไว้เพื่อเป็นหลักควบคุมพระสังฆาธิการ  โดยมีบทบัญญัติดังนี้

จริยา

        ข้อ  ๔๔  พระสังฆาธิการต้องเคารพเอื้อเฟื้อต่อกฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์  กฎกระทรวง  กฎมหาเถรสมาคม  ข้อบังคับ  ระเบียบ  คำสั่ง  มติ  ประกาศ  พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช  สังวรและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด

          ข้อ  ๔๕  พระสังฆาธิการต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งโดยชอบด้วยอำนาจหน้าที่  ถ้าไม่เห็นพ้องด้วยคำสั่งนั้น  ให้เสนอความเห็นทัดทานเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน  ๑๕  วัน  นับแต่วันที่ได้รับทราบคำสั่ง  และเมื่อได้ทัดทานดังกล่าวมานั้นแล้ว  แต่ผู้สั่งมิได้ถอนหรือแก้คำสั่งนั้น  ถ้าคำสั่งนั้นไม่ผิดพระวินัยต้องปฏิบัติตาม  แล้วรายงานจนถึงผู้สั่ง

          ในกรณีที่มีการทัดทานคำสั่งดังกล่าวในวรรคแรก  ให้ผู้สั่งรายงานเรื่องทั้งหมดไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตนเพื่อพิจารณาสั่งการ

          ในการปฏิบัติหน้าที่ ห้ามทำข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตพิเศษเป็นครั้งคราว

          ข้อ  ๔๖  พระสังฆาธิการต้องตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง      มิให้เกิดความเสียหายแก่การคณะสงฆ์และการพระศาสนา และห้ามมิให้ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควร

          ข้อ ๔๗  พระสังฆาธิการต้องปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ และห้ามมิให้ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ไม่สมควร

        ข้อ  ๔๘  พระสังฆาธิการต้องสุภาพเรียบร้อยต่อผู้บังคับบัญชาเหนือตนและผู้อยู่ในปกครอง

        ข้อ  ๔๙  พระสังฆาธิการต้องรักษาส่งเสริมสามัคคีในหมู่คณะ และช่วยเหลือซึ่งกันและกันในทางที่ชอบ

        ข้อ  ๕๐  พระสังฆาธิการต้องอำนวยความสะดวกในหน้าที่การคณะสงฆ์และการพระศาสนา 

          ข้อ  ๕๑  พระสังฆาธิการต้องรักษาข้อความอันเกี่ยวกับการคณะสงฆ์ที่ยังไม่ควรเปิดเผย

        ทั้ง  ๘  ข้อนี้  เป็นตัวจริยาอันพระสังฆาธิการต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด  เพราะละเมิดแล้ว  ย่อมได้รับโทษฐานละเมิดจริยา

การรักษาจริยา

        นอกจากจะบัญญัติให้พระสังฆาธิการต้องรับปฏิบัติตามกล่าว คือต้องรักษาจริยาสำหรับตัวเองแล้ว ยังบัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับคอยควบคุมและพิจารณาลงโทษในเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาละเมิดจริยา ดังบทบัญญัติข้อ  ๕๒  และ  ๕๓ 

          “ข้อ  ๕๒  ให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น  มีหน้าที่ควบคุม ดูแล แนะนำ ชี้แจง  หรือสั่งให้ผู้อยู่ในบังคับบัญชาปฏิบัติตามจริยาโดยเคร่งครัด

          ถ้าผู้บังคับบัญชารู้อยู่ว่า ผู้อยู่ในบังคับบัญชาละเมิดจริยา ต้องพิจารณาว่า ความละเมิดของผู้อยู่ในบังคับบัญชานั้น  อยู่ในอำนาจที่ตนจะสั่งลงโทษได้หรือไม่  ถ้าอยู่ในอำนาจที่ตนจะสั่งลงโทษได้ ก็ให้สั่งลงโทษ  แล้วรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาเหนือตน  ถ้าเห็นว่าความละเมิดนั้น  ควรจะลงโทษหนักกว่าที่ตนมีอำนาจที่จะสั่งลงโทษได้    ก็ให้รายงานผู้บังคับบัญชาเหนือตนขึ้นไป  เพื่อพิจารณาสั่งลงโทษตามควร

          ผู้บังคับบัญชารูปใด  ไม่จัดการลงโทษผู้อยู่ในบังคับบัญชาที่ละเมิดจริยาหรือจัด การลงโทษโดยไม่สุจริต   ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชารูปนั้นละเมิดจริยา

          ข้อ  ๕๓  พระสังฆาธิการรูปใด  ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษฐานละเมิดจริยาต้องปฏิบัติตามทันที  ถ้าเห็นว่าคำสั่งลงโทษไม่เป็นธรรม  ก็มีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ในระเบียบมหาเถรสมาคมว่าด้วยการร้องทุกข์ แต่ถ้าปรากฏว่าเป็นการร้องทุกข์เท็จ  ให้ถือว่าเป็นการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง

.  โทษฐานละเมิดจริยา

        โทษที่พระสังฆาธิการจะพึงได้รับ  เพราะละเมิดจริยา  มีหนักเบากว่ากันตามความละเมิด  ตามความในข้อ  ๕๔  ดังนี้

        “ข้อ  ๕๔  พระสังฆาธิการรูปใดประพฤติละเมิดจริยา  ต้องได้รับโทษฐานละเมิดจริยาอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

               (ถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่

               (ปลดจากตำแหน่งหน้าที่

               (ตำหนิโทษ

               (ภาคทัณฑ์

การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่

        การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่  ต้องยึดหลักเกณฑ์และวิธีการตามความในข้อ  ๕๕  ดังนี้

          ข้อ  ๕๕   การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่นั้น  จะทำได้ต่อเมื่อพระสังฆาธิการละเมิดจริยาอย่างร้ายแรง  แม้ข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

                   (ทุจริตต่อหน้าที่

                   (ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเกินกว่า  ๓๐  วัน

                   (ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์  และการขัดคำสั่งนั้นเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์

                   (ประมาทเลินเล่อในหน้าที่เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่การคณะสงฆ์

                   (ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

          ในกรณีเช่นนี้   ให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดรายงานตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้ง  เมื่อได้สอบสวนและได้ความจริงตามรายงานนั้นแล้ว  ให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งสั่งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้