ตอนที่ ๖
วิธีฝากสัทธิวิหาริกเข้าอยู่วัดอื่น
——————
ในทางพระวินัย พระอุปัชฌาย์คือผู้ปกครองดูแลสั่งสอนสัทธิวิหาริกโดยตรง พร้อมทั้งให้การศึกษาอบรมพระธรรมวินัยแก่สัทธิวิหาริก ตลอดเวลาที่สัทธิวิหาริกยังเป็นนวกภิกษุคือพรรษายังไม่พ้น ๕ พระอุปัชฌาย์ต้องประคับประคองสัทธิวิหาริก เพื่อ ให้ตั้งมั่นในสัมมาปฏิบัติและมีความรู้พระธรรมวินัยพอรักษาตัวได้ เปรียบเหมือนบิดามารดาต้องรับเป็นภาระธุระบุตรธิดาซึ่งยังเป็นผู้เยาว์คือยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างใกล้ชิด หน้าที่พระอุปัชฌาย์ที่จะปฏิบัติหลังจากให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรแล้ว เป็นภาระ ธุระที่ละเอียดอ่อน และเป็นภาระธุระที่ให้คุณประโยชน์แก่สัทธิวิหาริกพร้อมทั้งคณะสงฆ์และพระศาสนาเป็นอย่างมากยิ่ง แต่พระอุปัชฌาย์บางรูปมักละเลยหน้าที่อันนี้เสีย เพื่อการปฏิบัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์สอดคล้องทางพระวินัยมากที่สุด มหาเถรสมาคมจึงบัญญัติหน้าที่พระอุปัชฌาย์ไว้ในข้อ ๑๙ แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ ไว้ดังนี้
“ข้อ ๑๙ พระอุปัชฌาย์เมื่อให้บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรแล้ว มีหน้าที่ต้องถือเป็นภาระธุระปกครองดูแลสั่งสอนสัทธิวิหาริกของตนให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ ต้องขวนขวายให้ได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย และต้องออกหนังสือสุทธิให้แก่สัทธิวิหาริกตามความในข้อ ๔๑ เพื่อแสดงสังกัดถิ่นที่อยู่และความบริสุทธิ์แห่งสมณเพศ
ถ้าสัทธิวิหาริกผู้มีพรรษายังไม้พ้น ๕ จะไปอยู่ในวัดอื่นใด เมื่อพระอุปัชฌาย์เห็นสมควรก็ให้สอบถามไปยังเจ้าอาวาสวัดนั้น เมื่อได้รับคำยืนยันรับรองที่จะปกครองดูแลสั่งสอนแทนได้ จึงให้ทำหนังสือฝากและมอบภาระธุระแก่เจ้าอาวาสวัดนั้น ให้เป็นผู้ปกครองดูแลสั่งสอนแทนตน
ถ้าสัทธิวิหาริกผู้นั้นมีพรรษายังไม่พ้น ๕ จะย้ายไปอยู่ในวัดอื่นต่อไปอีก ให้เจ้าอาวาสผู้รับฝากปกครองแจ้งไปยังพระอุปัชฌาย์ เพื่อได้ปฏิบัติการตามความในวรรค ๒ แต่ถ้าพระอุปัชฌาย์นั้นพ้นจากความเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว ก็ให้เจ้าอาวาสผู้ปกครองปฏิบัติการตามความในวรรค ๒”
ตามความในวรรคแรก ยืนยันชัดเจนว่า พระอุปัชฌาย์ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามพระธรรมวินัยและตามกฎมหาเถรสมาคมเป็น ๓ ประการคือ
๑) ต้องเป็นภาระธุระปกครองดูแลสั่งสอนสัทธิวิหาริกให้ตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ
๒) ต้องขวนขวายให้สัทธิวิหาริกได้รับการศึกษาพระธรรมวินัย
๓) ต้องออกหนังสือสุทธิให้แก่สัทธิวิหาริก
อันหน้าที่ประการที่ ๓ เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย เพราะพระอุปัชฌาย์ในปัจจุบันต้องเป็นพระอุปัชฌาย์ชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมาย มิใช่ชอบเพียงอย่างเดียวและประการนี้ได้เรียนถวายแล้วแต่ตอนที่ ๔-๕
ส่วนหน้าที่ประการที่ ๑ – ๒ แต่เดิมเป็นหน้าที่ตามพระธรรมวินัย ครั้นได้บัญญัติไว้ในกฎมหาเถรสมาคม จึงเป็นหน้าที่ตามพระธรรมวินัยและกฎหมาย โดย เฉพาะการปกครองดูแลอบรมสั่งสอนตลอดจนการให้การศึกษาพระธรรมวินัยนั้น ต้องให้เป็นไปอย่างใกล้ชิด โดยพระวินัยนั้น สัทธิวิหาริกต้องอยู่ในสำนักพระอุปัชฌาย์ตลอด จนเวลาที่ยังเป็นนวกภิกษุ แต่เมื่อพรรษายังไม่พ้น ๕ จะไปอยู่สำนักอื่น ต้องให้ถือนิสัยในพระภิกษุอื่นกล่าวคือให้พระภิกษุอื่นทำหน้าที่ปกครองดูแลอบรมสั่งสอนแทน ความในวรรค ๒ – ๓ จึงบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่า พระภิกษุผู้มีพรรษายังไม่พ้น ๕ จะไปอยู่วัดอื่น พระอุปัชฌาย์ต้องสอบสวนการควรไม่ควรและมีผู้รับปกครองแทนได้หรือไม่ เมื่อได้รับคำยืนยันว่าจะปกครองแทนได้ จึงฝากและมอบภาระธุระให้ปกครองแทนตนเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้ายังมีพรรษาไม่พ้น ๕ จะย้ายไปอยู่วัดอื่นต่อไปอีก ให้ผู้รับปกครองแทนแจ้งเรื่องราวให้ทราบ และพระอุปัชฌาย์ต้องสอบสวน เห็นควรแล้วจึงทำหนังสือฝากเช่นที่กล่าวแล้ว แม้เจ้าอาวาสจะรับสัทธิวิหาริกของผู้อื่นซึ่งมีพรรษายังไม่พ้น ๕ ก็ควรสอบสวนไปยังพระอุปัชฌาย์ก่อน กรณีที่พระอุปัชฌาย์พ้นจากความเป็นพระอุปัชฌาย์แล้ว เจ้าอาวาสที่สัทธิวิหาริกอยู่ในปกครอง ต้องปฏิบัติการแทนตามข้อ ๑๙ วรรค ๒ นั้น