บันทึกสรุปคำบรรยาย กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑

บันทึกสรุปคำบรรยาย[1]

กฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑

โดยพระธรรมปริยัติโสภณ เจ้าคณะภาค ๑๐

——————-

     อันนักปกครองทั้งทางราชอาณาจักรและทางพุทธจักร จัดการปกครองหมู่คณะในอาณาจักรนั้น ๆ ก็เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขเป็นหลักสำคัญ มิใช่เพื่อประโยชน์อย่างอื่น แต่จะให้บรรลุผลสมมโนปณิธานได้นั้น ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ๒ อย่างคือ.-

     (๑) นิคหะ การปราบปรามผู้ควรปราบปราม

     (๒) ปัคคหะ การยกย่องผู้ควรยกย่อง

     ในทางราชอาณาจักรนั้น ได้ตราประมวลกฎหมายอาญาขึ้นเพื่อปราบปรามผู้ควรปราบปราม กล่าวคือเพื่อใช้บำบัดทุกข์ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการเบียดเบียนข่มเหงตลอดจนฆ่าตีกันและกัน “นี่คือหลักนิคหะ” และได้ตราประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อรับรองสิทธิมนุษยชนในทุกด้าน กล่าวคือเพื่อบำรุงสุข “นี่คือหลักปัคคหะ” แต่กฎหมายดังกล่าวเป็นฝ่ายสารบัญญัติ มีฝ่ายเดียวเท่านี้ย่อมไม่อำนวยผล จึงได้ตราประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายวิธีสบัญญัติ  เพื่อเป็นอุปกรณ์ปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายอาญา และเป็นอุปกรณ์รับรองสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายแพ่ง นี้เป็นหลักการปกครองราชอาณาจักส่วนหนึ่งซึ่งจะขาดเสียมิได้เลย

     ในทางพุทธจักรนั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบท กำหนดโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้น ๆ ก็คือ ทรงบัญญัติโทษอาญาซึ่งเรียกว่า “พุทธอาณา” อันได้แก่ “หลักนิคหะ” ทรงบัญญัติเพื่อปราบปรามผู้ควรปราบปรามซึ่งตรงกับคำว่า “บำบัดทุกข์” เป็นฝ่ายสารบัญญัติและทรงบัญญัติหลัการปฏิบัติอื่นอันเป็นส่วนแห่งการยกย่อง เช่น ทรงตั้งอัครสาวก ทรงมอบให้พระสงฆ์เป็นใหญ่ในสังฆกรรม อันเป็นส่วนปัคคหะ การที่ทรงบัญญัติสิกขาบทอันเป็นส่วนนิคหะนั้น แม้จะทรงบัญญัติวิธีการลงโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดไว้ก็ตาม แต่เพราะราชอาณาจักรเป็นฐานรองรับพุทธจักร จึงอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติตรากฎมหาเถรสมาคมขึ้น เพื่อเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการลงโทษแก่ผู้ล่วงละเมิดพระวินัยอีกชั้นหนึ่ง มิใช่บัญญัติโทษขึ้นใหม่ เป็นเพียงบัญญัติวิธีการลงโทษซึ่งอาศัยกฎหมายแผ่นดินเท่านั้น เหมือนกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั่นเอง

     การที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทนั้น โดยพุทธประสงค์เพื่ออำนาจแห่งประโยชน์ ๑๐ ประการคือ.-

     (๑) เพื่อความยอมรับแห่งสงฆ์

     (๒) เพื่อความอยู่ผาสุกแห่งสงฆ์

     (๓) เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก

     (๔) เพื่อความผาสุกแห่งพระภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก

     (๕) เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน

     (๖) เพื่อป้องกันอาสวะทั้งหลายที่จักเกิดขึ้นในอนาคต

     (๗) เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสแก่เหล่าชนผู้ยังไม่เลื่อมใส

     (๘) เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นแก่เหล่าชนผู้เลื่อมใสแล้ว

     (๙) เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม

     (๑๐) เพื่ออนุเคราะห์แก่พระวินัย

     ในการตรากฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้นั้น แม้มหาเถรสมาคมจะมิได้กำหนดนโยบายในการตราไว้เลยก็ตาม แต่เมื่อจะว่าโดยนโยบายอันเป็นเหตุ พอสรุปได้ ๓ คือ.-

     (๑)  เพื่อเป็นอุปกรณ์กำจัดพระภิกษุผู้ทุศีล

     (๒) เพื่อเป็นอุปกรณ์ป้องกันและชำระมลทินในสังฆมณฑล

     (๓)  เพื่อเป็นอุปกรณ์การปกครองคณะสงฆ์

     ทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นส่วนมูลเหตุอันจะให้เกิดผล แต่เมื่อว่าโดยส่วนผล อันคล้อยตามพระพุทธประสงค์ทั้ง ๑๐ ประการนั้น พอสรุปได้ ๓ คือ.-

     (๑)  เพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่องแห่งสังฆมณฑล (๑-๖)

     (๒)  เพื่อเสริมสร้างกำลังให้แก่สังฆมณฑล (๗-๘)

     (๓)  เพื่อความตั้งมั่นแห่งพุทธจักร (๙-๑๐)

หลักการ

     ในการตรากฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้ มีหลักการสำคัญ ๒ คือ

     (๑)  ยกเลิกความในข้อ ๓ (๗) ข.แห่งกฎ ๒ และยกเลิกกฎ ๙

     (๒)  ตราเป็นกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม

เหตุผล

     เหตุผลที่ต้องตรากฎมหาเถรสมาคมฉบับนี้ แยกเป็น ๓ คือ

     (๑)  เพราะความในข้อ ๓ (๗) ข. แห่งกฎ ๒ ได้บัญญัติไว้ในกฎ ๑๑ แล้ว

     (๒)  เพราะกฎ ๙ ให้กำหนดวิธีปฏิบัติเป็นระเบียบมหาเถรสมาคม และให้อำนาจมหาเถรสมาคมในการพิจารณาวินิจฉัยอธิกรณ์ซึ่งค้างปฏิบัติอยู่ก่อน วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๖

     (๓)  บัดนี้ สมควรยกเลิกความดังกล่าวใน (๑) และ (๒) แล้วตราขึ้นเป็นกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๑

คำปรารภ

     ๑. อำนาจในการตรา อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นหลักในการตรา

     ๒. ข้อ ๑-๒ บอกชื่อกฎและกำหนดวันใช้บังคับ

           (๑) ชื่อว่ากฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ.๒๕๒๑) ว่าด้วยการลงนิคหกรรม เรียกย่อว่า “กฎ ๑๑”  

           (๒) ใช้บังคับถัดจากวันประกาศในแถลงการณ์คณะสงฆ์เป็นต้นไป (๒๖ ธ.ค.๒๑)

          (๓) ข้อ ๓ กำหนดให้ยกเลิก

                (๑) ความในข้อ ๓ (๗) ข.แห่งกฎ ๒ และความในกฎ ๙

                (๒) ข้อขังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งเกี่ยวกับคณะสงฆ์

                     ก. ในส่วนที่บัญญัติไว้ในกฎฉบับนี้

                     ข. ซึ่งขัดหรือแย้งกับกฎฉบับนี้


[1]  บันทึกเมื่อครั้งเป็นพระศรีสุธรรมมุนี พ.ศ.๒๕๒๒